โยอาคิม เลิฟ ประวัติ โค้ชเยอรมนี ผู้ปูทางแชมป์ฟุตบอลโลก 2014


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก freegreatimages.com, สปริงนิวส์

            ต้องยอมรับว่า การคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกสมัยที่ 4 ของเยอรมนี คนที่ควรได้รับเครดิตมากที่สุดกับความสำเร็จครั้งนี้ คงหนีไม่พ้น โยอาคิม เลิฟ บุนเดสเทรนเนอร์ไฟแรง และต้องบอกเลยว่าการคุมทีมอินทรีเหล็กของเขานั้นไม่ธรรมดาถึงขนาดได้รับการยกย่องว่า ทีมชาติเยอรมนี เป็นทีมที่มีระบบทีมที่แข็งแกร่งที่สุดทีมหนึ่งของโลก แต่กว่าจะเดินทางมาพบกับความสำเร็จในปี 2014 โค้ชสุดหล่อขวัญใจสาว ๆ คนนี้ต้องผ่านกับอะไรมาบ้าง ตามไปรู้จักกับเขากันเลย

ชีวิตในการค้าแข้งของเลิฟ

            โยอาคิม เลิฟ เกิดเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1960 (พ.ศ. 2503) ที่ประเทศเยอรมนีตะวันตก ส่วนชีวิตการค้าแข้งของเลิฟ เรียกได้ว่า เกิดมาตายรังเพื่อสโมสรไฟร์บวร์กโดยแท้ เพราะไม่ว่าจะย้ายออกไปค้าแข้งที่สโมสรอื่น แต่สุดท้ายก็กลับมาตายรังที่นี่อยู่วันยังค่ำ ซึ่งเลิฟได้เข้า ๆ ออก ๆ ที่ไฟร์บวร์กอยู่ 3 ครั้งด้วยกัน ได้แก่ช่วง ค.ศ. 1978-1980, 1982-1984 และ 1985-1989


 

            ขณะที่สโมสรอื่นที่เลิฟย้ายไปร่วมทีม ก็ได้แก่ สตุ๊ตการ์ท (ค.ศ. 1980-1981), แฟร้งเฟิร์ต (ค.ศ. 1981-1982), คาร์ลสรูห์ (ค.ศ. 1984-1985) และสโมสรเล็ก ๆ อีก 3 สโมสร ก่อนปิดฉากการค้าแข้ง ทั้งนี้ สาเหตุการย้ายทีมของเลิฟที่ย้ายไปย้ายมา เนื่องจากว่า เลิฟค้าแข้งกับสโมสรอื่นแล้วทำผลงานไม่ดี แต่เมื่อกลับมาไฟร์บวร์ก กลับทำผลงานได้ดีเสมอ ด้วยเหตุนี้ เลิฟจึงไม่ค่อยได้ค้าแข้งในลีกสูงสุดของประเทศเท่าใดนัก

            ด้านผลงานทีมชาติของเลิฟนั้น เลิฟไม่เคยติดทีมชาติเยอรมนีตะวันตกชุดใหญ่ มากที่สุดก็อยู่แค่ชุดอายุต่ำกว่า 21 ปี จำนวน 4 นัดเท่านั้น

การคุมทีมในระดับสโมสร

            โยอาคิม เลิฟ เริ่มคุมทีมอย่างจริงจัง ไม่ใช่เป็นการคุมทีมเล็ก ๆ หรือคุมทีมในระดับเยาวชน ก็มีจุดเริ่มต้นจากสตุ๊ตการ์ท สโมสรที่เขาเคยค้าแข้งด้วย โดยเลิฟนั้น คุมสตุ๊ตการ์ทตั้งแต่ ค.ศ. 1996-1998 (เลื่อนมาจากการเป็นผู้ช่วย) ซึ่งผลงานการคุมทีมนั้น ก็มีถ้วยเดเอฟเบ โพคาล ติดมือมา 1 สมัย และรองแชมป์คัพ วินเนอร์ส คัพ อีก 1 สมัย นับว่ามีผลงานในระดับที่ดีพอสมควร

            อย่างไรก็ตาม เมื่อเลิฟย้ายออกจากสตุ๊ตการ์ท ไปคุมสโมสรอื่น ผลงานกลับไม่สู้ดี และเปลี่ยนสโมสรบ่อย ๆ โดยคุมทีมที่มีชื่ออย่าง เฟเนร์บาห์เช่ ในประเทศตุรกี (ค.ศ. 1998-1999), คาร์ลสรูห์ (ค.ศ.1999-2000) มาแล้ว จากนั้น และคุมทีมไทรอล อินนส์บรัค สโมสรในออสเตรีย สามารถพาทีมคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้ในฤดูกาล 2001-2002 จากนั้นก็ย้ายมาคุมทีมออสเตรีย เวียน เป็นสโมสรสุดท้ายใน ค.ศ. 2004

รับงานเป็นผู้ช่วยโค้ชทีมชาติเยอรมนี

            โยอาคิม เลิฟ ออกจากออสเตรีย เพื่อมาเป็นผู้ช่วยของเจอร์เก้น คลินส์มันน์ ผู้จัดการทีม โดยมีภารกิจที่หนักหนาสาหัสอยู่ไม่น้อย นั่นคือ การกู้ทีมชาติเยอรมนี หลุดพ้นจากวิกฤตให้ได้ สร้างทีมสายเลือดใหม่ หลังจากที่ตกรอบแรกฟุตบอลยูโร 2000 และ 2004 สองสมัยติดต่อกัน ส่วนฟุตบอลโลก 2002 ก็ทำได้เพียงรองแชมป์เท่านั้น


            ในศึกฟุตบอลโลก 2006 เลิฟและคลินส์มันน์ ก็สามารถกอบกู้เยอรมนีให้กลับมาเชิดหน้าชูตาอีกครั้ง โดยคว้าอันดับที่ 3 มาครองได้ ด้วยสไตล์การเล่นที่ดูดีมีอนาคต เล่นบอลสนุกสนาน เล่นเกมบุกเป็นหลัก

ก้าวมาเป็นบุนเดสเทรนเนอร์ ลุยศึกยูโร 2008

            โยอาคิม เลิฟ รับตำแหน่งเป็นผู้จัดการทีมเยอรมนีต่อจากคลินส์มันน์ ซึ่งตัวคลินส์มันน์เอง ก็ให้เครดิตว่า เลิฟเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เยอรมนีคว้าอันดับ 3 และคนที่เหมาะสมที่จะสานงานต่อจากเขา ก็ต้องเป็นเลิฟ

            อย่างไรก็ตาม ในศึกยูโร 2008 เลิฟพาทีมพ่ายสเปนในนัดชิงชนะเลิศ 0-1 ซึ่งในเกมนั้นเอง เลิฟเองก็ถูกวิจารณ์เรื่องการแก้เกมกับการวางแผนที่ผิดพลาด ขณะที่เจ้าตัวก็ยอมรับในความผิดพลาดครั้งนี้ นอกจากนั้น ในศึกยูโร 2008 เลิฟยังมีประเด็นสำคัญอีกหนึ่งประเด็น นั่นคือ การถูกแบนไม่ให้คุมทีมข้างสนาม ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย เนื่องจากมีปัญหากับผู้ตัดสินที่ 4 ในรอบแรก อย่างไรก็ตาม ในเกมที่เลิฟถูกแบน เยอรมนีก็ยังสามารถเอาตัวรอดด้วยการชนะโปรตุเกสมาได้ 3-2 โดยที่กล้องได้จับมาที่ห้องที่เลิฟนั่งชมเกม ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด และมีการสูบซิการ์เพื่อผ่อนคลาย

ฟุตบอลโลก 2010 ถูกสเปนย้ำแค้น

            2 ปีต่อมา โยอาคิม เลิฟ นำขุนพลอินทรีเหล็ก ลุยศึกฟุตบอลโลก 2010 ด้วยขุนพลพลังหนุ่ม และฟอร์มของทีมในฟุตบอลโลกครั้งนั้น ก็ถือว่ามีผลงานชิ้นโบว์แดงในรอบน็อคเอาท์ นั่นคือ การถล่มอังกฤษในรอบ 16 ทีมสุดท้าย 4-1 และชนะอาร์เจนตินา 4-0 ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย อย่างไรก็ดี รอบรองชนะเลิศ เยอรมนี ก็ต้องมาเจอกับสเปน คู่ปรับเก่าในยูโร 2008 ซึ่งฟอร์มการเล่นก่อนหน้านี้ เยอรมนีถือว่าทำได้ดีกว่ามาก แต่สุดท้าย สเปนก็ทำให้เลิฟและขุนพลอกหักอีกครั้ง ด้วยการเอาชนะไปได้ 1-0 จากลูกโหม่งของการ์เลส ปูโยล และหลังจากนั้น สเปนก็สามารถคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกมาครองได้ ส่วนเยอรมนีก็คว้าอันดับ 3 สองสมัยติดต่อกันเป็นรางวัลปลอบใจ

ยูโร 2012 ยังไม่ถึงฝั่งฝันต่อไป

            ในศึกยูโร 2012 เป็นการคุมทีมลุยศึกยูโรครั้งที่ 2 ของเลิฟ เยอรมนี ถูกจับสลากมาอยู่ในกลุ่มแห่งความตาย เจอกระดูกชิ้นโตอย่าง เนเธอร์แลนด์, โปรตุเกส และเดนมาร์ก แต่ก็สามารถเก็บชัยได้ 3 นัดรวด ส่วนในรอบ 8 ทีมสุดท้าย สามารถเอาชนะฝรั่งเศส 2-0 อย่างไรก็ดี ในรอบรองชนะเลิศ เยอรมนีกลับมาเจอคู่ปรับเก่าอีกแล้ว ครั้งนี้ไม่ใช่สเปน แต่เป็นอิตาลี ผู้ที่เขี่ยเยอรมนีตกรอบรองชนะเลิศฟุตบอลโลก 2006 และเลิฟก็ถูกอิตาลีย้ำแค้น 2-1 ตกรอบไปอย่างน่าเสียดาย

ฟุตบอลโลกแดนแซมบ้า สิ้นสุด 24 ปีที่รอคอย

            ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2014 โยอาคิม เลิฟ ประกาศชัดเจนว่า การลุยฟุตบอลโลกครั้งที่ 2 ของเขา หากเขาไม่สามารถพาเยอรมนีคว้าแชมป์รายการนี้ได้ จะลาออกจากตำแหน่ง สุดท้าย เยอรมนีก็สามารถคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกได้สำเร็จ ด้วยการชนะอาร์เจนตินา 1-0 คว้าแชมป์โลกเป็นครั้งแรกในรอบ 24 ปี และฝากผลงานอันสุดยอดด้วยการยำเจ้าภาพบราซิล ในรอบรองชนะเลิศ 7-1 เป็นสถิติใหม่อีกด้วย

โยอาคิม เลิฟ หล่อ ๆ แบบนี้ แต่งงานแล้วนะจ๊ะ

            สาว ๆ คงใจสลายทันที เมื่ออ่านถึงบรรทัดนี้ แน่นอนว่า คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร หากจะมีคนเข้าใจว่า โยอาคิม เลิฟ ยังโสด เพราะเจ้าตัวนั้น ไม่ชอบเปิดตัวเรื่องนี้เท่าใดนัก แต่ความจริง เลิฟนั้นแต่งงานแล้ว ส่วนภรรยาของเลิฟ ชื่อว่า ดาเนียล่า เลิฟ อายุเด็กกว่าเลิฟ 2 ปี แต่งงานกันตั้งแต่ปี ค.ศ. 1986 (พ.ศ. 2529) โดยเลิฟได้พบกับภรรยาของเขาตั้งแต่อายุ 17 ปี จากนั้นอีก 8 ปีให้หลังพวกเขาก็แต่งงานกัน แต่ ณ ปัจจุบันพวกเขาก็ยังไม่มีทายาท

เรื่องข้างสนามสุดขำขันของกุนซืออินทรีเหล็ก

            วีรกรรมของเลิฟข้างสนาม ก็เป็นที่โจษจันกันอย่างแพร่หลาย เมื่อตากล้องสามารถจับภาพได้ว่า ระหว่างที่เลิฟนั่งคุมทีมอยู่นั้น มือของเขามักจะเผลอแคะจมูก ก่อนเอาขี้มูกเข้าปาก กินอย่างสบายใจเฉิบ นอกจากนี้ ยังมีช็อตที่เลิฟนำมือล้วงรักแร้ของตัวเอง ก่อนเอามาดมอีกด้วย

            ส่วนช็อตเด็ดอีกหนึ่งอย่างในฟุตบอลโลก 2014 ก็มีเหมือนกัน เมื่อเลิฟกำลังแคะขี้มูกหลังจบเกมที่เยอรมนีชนะโปรตุเกส 4-0 แต่ทันใดนั้นเอง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ กัปตันทีมโปรตุเกส เดินผ่านพอดี เลิฟจึงนำมือที่กำลังแคะขี้มูกนั้น ไปยื่นจับมือกับโรนัลโด้

            อย่างไรก็ดี มุมน่ารัก ๆ ของเลิฟข้างสนามก็มีเหมือนกัน ในศึกยูโร 2012 เมื่อเลิฟได้แกล้งเด็กเก็บบอลที่กำลังถือบอล เหม่อดูเกมข้างสนาม ด้วยการแอบตบบอลให้หลุดจากมือ พร้อมกับยิ้ม ๆ ก่อนที่จะเตะบอลคืนให้เด็กเก็บบอลคนดังกล่าว

            กลับมาที่เรื่องในสนามอีกครั้ง เมื่อดูจากผลงานของโยอาคิม เลิฟ แล้ว เขาใช้เวลากว่า 10 ปี ในการปลุกปั้นเยอรมนี มาสู่จุดสูงสุดของความสำเร็จของชีวิตการคุมทีม แม้ว่าจะผ่านความผิดหวังมาหลายครั้ง เฉียดไปเฉียดมา แต่เลิฟก็พยายามต่อไป จนมีวันนี้

            หลังจากนี้ คงต้องดูต่อไปว่า ในศึกยูโร 2016 เยอรมนีจะมีผลงานอย่างไร จะสามารถยุติการรอคอยแชมป์ยุโรปที่หายไปกว่า 20 ปีได้หรือไม่ ส่วน โยอาคิม เลิฟ ก็ประกาศชัดเจนแล้วว่า จะไม่ลาออกจากตำแหน่ง เพราะต้องการสานต่อความสำเร็จต่อไป
 

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
โยอาคิม เลิฟ ประวัติ โค้ชเยอรมนี ผู้ปูทางแชมป์ฟุตบอลโลก 2014 อัปเดตล่าสุด 15 กรกฎาคม 2557 เวลา 14:12:51 7,936 อ่าน
TOP