มาริโอ บาโลเตลลี่ ศูนย์หน้าป้ายแดง ของลิเวอร์พูล


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก Instagram mb459, superbwallpapers.com, footballwallpaper.org

          มาริโอ บาโลเตลลี่ ศูนย์หน้าป้ายแดงของลิเวอร์พูล กับประวัติความเกรียนและผลงานสุดแสบสันต์

          ช่วงนี้แฟนบอลลิเวอร์พูลคงรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูกเป็นแน่ หลังจากที่ทีมเซ็นสัญญากับนักเตะใหม่ นามว่า มาริโอ บาโลเตลลี่ ศูนย์หน้าทีมชาติอิตาลี ที่ขึ้นชื่อลือชาในเรื่องของความเกรียนไม่น้อย เพื่อแทนที่ของหลุยส์ ซัวเรส ศูนย์หน้าคนเก่าที่ย้ายออกไป และเนื่องในโอกาสที่ลิเวอร์พูลได้แข้งใหม่เข้ามา ทางเราก็ถือโอกาสย้อนดูโปรไฟล์ของหนุ่มวัย 24 ปีคนนี้อีกครั้ง

          สำหรับ มาริโอ บาโลเตลลี่ เกิดเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ. 1990 ที่เมืองปาแลร์โม ประเทศอิตาลี โดยพื้นเพครอบครัวเป็นชาวคริสเตียนที่อพยพมาจากกาน่า มีพ่อชื่อ โธมัส แม่ชื่อ โรส บาร์วูอาห์ เมื่อบาโลเตลลี่ อายุได้ 2 ขวบ ก็มีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้ จนถึงขั้นต้องผ่าตัด หลังจากผ่าตัด ด้วยความที่ครอบครัวบาร์วูอาห์ มีฐานะที่ยากจน จนไม่สามารถรักษามาริโอได้ ทางพ่อกับแม่จึงได้ขอความช่วยเหลือจากทางนักสังคมสงเคราะห์ สุดท้ายมีครอบครัวบาโลเตลลี่ มารับอุปการะมาริโอ ตอนอายุ 3 ขวบ และเมื่อบาโลเตลลี่ อายุ 18 ปี เขาก็ได้สัญชาติอิตาลีโดยสมบูรณ์

          อย่างไรก็ตาม สัญญาในการเลี้ยงดูของพ่อแม่บุญธรรมมีเพียงแค่ 12 เดือนเท่านั้น ทว่ามันก็ขยาย ๆ ไปเรื่อย ๆ จนทางครอบครัวบาร์วูอาห์ ไม่สามารถนำมาริโอมาสู่ครอบครัวได้ตามเดิม จนกลายเป็นปัญหาตามมาที่มาริโอจวกครอบครัวเก่าว่า ถ้าหากเขาไม่ใช่นักเตะอินเตอร์ มิลาน ทางครอบครัวบาร์วูอาห์ ก็คงไม่คิดนำเขาคืนสู่ครอบครัวใช่หรือไม่ เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องคาราคาซังที่ยังไม่มีข้อสรุปว่าใครถูกใครผิดกันแน่

          ตั้งแต่วัยเด็กของบาโลเตลลี่ เขาต้องพบกับปัญหามากมาย โดยเฉพาะเรื่องการเหยียดสีผิว จนถึงขั้นเคยถามครูว่า หัวใจผมไม่ได้เป็นสีแดงหรือครับ แม้กระทั่งการลงเล่นฟุตบอลในช่วงแรก ๆ ก็มักโดนโห่ เหยียดผิว ปาเปลือกกล้วยใส่ ...สุดท้าย บาโลเตลลี่ ก็ผ่านมันมาได้ โดยมีครอบครัวบุญธรรมให้การสนับสนุนอย่างดีมาโดยตลอด

ชีวิตการค้าแข้งในสโมสร

          บาโลเตลลี่ เริ่มต้นการค้าแข้งกับสโมสรลูเมซซาเน่ ทีมจากกัลโช่ เซเรีย ซี1 ในปี 2005 ก่อนจะเซ็นสัญญาเป็นนักเตะของอินเตอร์ มิลาน ทีมดังในกัลโช เซเรีย อา อิตาลี เมื่อปี 2006 หลังจากพลาดหวังจากการทดสอบฝีเท้ากับบาร์เซโลน่า เมื่อตอนอายุ 15 ปี เขาลงเล่นเกมแรกในกัลโช่ เซเรีย อา เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2007 ในเกมพบกับ กายารี่ นอกจากนี้ บาโลเตลลี่ ยังเป็นเจ้าของสถิติ นักเตะของอินเตอร์ ที่ยิงประตูน้อยที่สุดในยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก อีกด้วย ด้วยวัย 18 ปี 85 วัน ในปี 2008

          บาโลเตลลี่ อยู่อินเตอร์จนถึงปี 2010 ก็ได้ย้ายไปร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ จากพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ด้วยค่าตัว 22 ล้านปอนด์ และเป็นการร่วมงานกับโรแบร์โต มันชินี่ กุนซือชาวอิตาเลียนอีกครั้ง หลังจากที่มันชินี่เคยคุมอินเตอร์ ในปี 2004-2008 ซึ่งชีวิตการค้าแข้งของบาโลเตลลี่ ที่แมนฯ ซิตี้ ก็สามารถคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ และพรีเมียร์ ลีก ได้อย่างละ 1 สมัย

          ต่อมา ด้วยนิสัยของบาโลเตลลี่เอง ที่มักมีปัญหาในเรื่องวินัยและความประพฤติ ทำให้สปิริตทีมมีปัญหา จนถูกปรับค่าเหนื่อย แล้วทางสโมสรต้องขายบาโลเตลลี่ไปให้เอซี มิลาน สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งอิตาลี เพื่อรักษาบรรยากาศทีมเอาไว้ ในเดือนมกราคม 2013 ส่วนผลงานการลงสนามของบาโลเตลลี่ที่เล่นให้กับเอซี มิลาน ก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไร เพราะลงสนามไปทั้งหมด 54 นัด ยิงได้ 30 ประตู

          ก่อนที่ฤดูกาล 2014-15 บาโลเตลลี่ ได้เซ็นสัญญาร่วมทีมลิเวอร์พูล ด้วยค่าตัว 16 ล้านปอนด์

ชีวิตในทีมชาติอิตาลี

          ด้านผลงานทีมชาติ บาโลเตลลี่ก็เคยได้รับข้อเสนอให้ติดทีมชาติกานาชุดใหญ่ แต่บาโลเตลลี่ปฏิเสธไป และเลือกติดทีมชาติอิตาลีชุดอายุต่ำกว่า 21 ปี แทนในปี 2008 และติดทีมชาติอิตาลีชุดใหญ่ เป็นครั้งแรกในปี 2010 ในเกมอุ่นเครื่องที่อิตาลี พบกับ ไอวอรี่ โคสต์
 


ยูโร 2012 ทัวร์นาเมนต์ที่ทำให้รู้จักบาโลเตลลี่มากขึ้น

          ยูโร 2012 อาจจะเป็นเวทีที่ใครหลายคนอาจจะได้สัมผัส และรับรู้ตัวตนของมาริโอ บาโลเตลลี่มากขึ้น ตั้งแต่นัดแรกจนถึงนัดชิงชนะเลิศ เริ่มตั้งแต่เกมแรกที่พบกับสเปน ได้โอกาสหลุดเดี่ยวดวลกับผู้รักษาประตู ทว่าบาโลเตลลี่มัวแต่ชักช้าจนน่าหัวเสียสำหรับแฟนบอลอิตาลี เลี้ยงบอลเข้าไปแบบเอื่อย ๆ จนทำให้เซร์คิโอ รามอส กองหลังสเปน ฉกบอลไปได้

          ในเกมสุดท้ายรอบแรก ที่พบกับไอร์แลนด์ เอี้ยวตัววอลเลย์หน้าประตูอย่างสวยงาม และขณะกำลังจะดีใจด้วยการตะโกนแหกปากดังลั่น กลับถูกเลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ เพื่อนร่วมทีมวิ่งเข้ามาปิดปากไม่ให้บาโลเตลลี่พูดทันที แม้ว่าโบนุชชี่จะฟังภาษาอังกฤษไม่ออก แต่ก็กลัวว่าบาโลเตลลี่จะพูดอะไรไม่ดีออกมา ทำให้เป็นปัญหาในภายหลัง ซึ่งหลายฝ่ายคาดกันว่า สิ่งที่บาโลเตลลี่จะพูดออกมา คือด่าพวกที่เคยเหยียดผิวของเขา ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า ในอิตาลีมีการเหยียดผิวกันหนักมาก และคาดว่าบาโลเตลลี่คงเจอสิ่งเหล่านี้มาตั้งแต่เล็ก ๆ

          รอบรองชนะเลิศ เหมาคนเดียว 2 ประตูช่วยให้อิตาลีชนะเยอรมนี 2-1 แต่สิ่งที่เป็นไฮไลท์คือ หลังจากยิงประตูลูกที่ 2 ที่สวยงาม บาโลเตลลี่กลับดีใจด้วยการถอดเสื้อ พร้อมกับโชว์กล้ามอันแข็งแรงให้ทั่วโลกเห็น จนทำให้แฟนบอลหลายคนนำท่าดีใจของบาโลเตลลี่ไปล้อเลียนต่าง ๆ นานา เช่น เป็นจอมมารบู ในการ์ตูนดราก้อนบอล เป็นต้น

          แม้ว่าท่าดีใจจะฮา แต่บาโลเตลลี่ก็มีอารมณ์ซึ้ง ด้วยการเข้าไปกอดคุณแม่บุญธรรมหลังจบเกมการแข่งขัน พร้อมกับร้องไห้ บอกแม่ว่า "ประตูนี้ยิงให้แม่" จากนั้นก็ให้สัมภาษณ์นักข่าวที่ถามว่า ทำไมไม่ดีใจหลังจากยิงประตูเยอรมนีได้ บาโลเตลลี่ก็ตอบแบบกวน ๆ ว่า คุณเคยเห็นบุรุษไปรษณีย์ดีใจเวลาส่งจดหมายเสร็จหรือเปล่าล่ะ

          รอบชิงชนะเลิศ ที่สเปนถลุงอิตาลียับ 4-0 เราก็ได้เห็นบาโลเตลลี่ ร้องไห้ด้วยสายตาอันแดงก่ำ ทำเอาหลายคนรู้สึกเห็นใจไปตาม ๆ กัน ไม่คิดว่านักเตะที่ดูเกรียน ๆ อย่างบาโลเตลลี่ จะร้องไห้ออกมาได้ ซึ่งทางเซซาร์เร่ ปรันเดลลี่ ผู้จัดการทีมอิตาลี ก็ได้เข้ามาปลอบว่า เรื่องความพ่ายแพ้เป็นประสบการณ์ที่ต้องเจอ และต้องรับมันให้ได้ ยอมรับให้ได้ว่า คู่ต่อสู้เก่งกว่า แล้วนายต้องมั่นใจด้วยว่า ประสบการณ์เหล่านี้จะช่วยให้นายเดินหน้าต่อไป ยังมีนักเตะอีกมากที่เจอเรื่องแบบนี้ และมันจะเกิดขึ้นอีกครั้ง เพราะนี่เป็นความหมายที่แท้จริงของคำว่า กีฬา

ฟุตบอลโลก 2014

          อิตาลี พกดีกรีรองแชมป์ยูโร 2012 มาลงแข่งฟุตบอลโลกครั้งนี้ แต่กลายเป็นว่า ต้องมีอันตกรอบแรก โดยแพ้ให้กับอุรุกวัยและคอสตา ริกา ส่วนบาโลเตลลี่เองนั้นก็ยิงได้ 1 ประตูในเกมที่ชนะอังกฤษ 2-1

วีรกรรมของบาโลเตลลี่

          บาโลเตลลี่ ขึ้นชื่อว่า เป็นนักเตะที่เก่งคนหนึ่ง แต่ไร้วินัย และอารมณ์ร้อน ไม่สามารถคาดเดาอารมณ์เขาได้ ซึ่งชาวเน็ตชาวไทยต่างพากันเรียกเขาว่า "เกรียนโอ้" โดยวีรกรรมของ บาโลเตลลี่ ก็สามารถเล่าได้คร่าว ๆ ดังนี้
 


          1. เคยมีปัญหากับโชเซ่ มูรินโญ่ ผู้จัดการทีม ในช่วงที่เล่นให้กับอินเตอร์ มิลาน เนื่องจากปัญหาด้านวินัย และมาซ้อมสาย ทำให้โดนมูรินโญ่ตัดออกจากทีมชุดใหญ่ ด้วยเหตุนี้ บาโลเตลลี่ ใส่เสื้อเอซี มิลาน ซึ่งเป็นทีมคู่อริของอินเตอร์ สัมภาษณ์ออกสื่อ พร้อมกับแขวะมูรินโญ่ว่า เกมที่อินเตอร์บุกไปชนะเชลซีได้ 1-0 โดยที่ไม่มีบาโลเตลลี่ในทีม ไม่ใช่เป็นชัยชนะของมูรินโญ่ แต่เป็นชัยชนะของอินเตอร์

          2. หลังจากที่อินเตอร์ ชนะ บาร์เซโลน่า 3-1 ในฟุตบอลยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก รอบรองชนะเลิศนัดแรก ฤดูกาล 2009-10 บาโลเตลลี่กลับขว้างเสื้อทีมทิ้งซะงั้น ทั้ง ๆ ที่ควรเป็นเวลาดีใจ เพราะสามารถชนะยอดทีมของโลกอย่างบาร์เซโลน่าได้ ทำให้แฟนบอลอินเตอร์ไม่พอใจ ไล่รุมกระทืบที่ลานจอดรถของสนาม นอกจากนี้ยังโดนมาร์โก มาเตราซซี่ เพื่อนร่วมทีมเข้ามาอัดในอุโมงค์ หลังเกมจบอีกด้วย

          3. ถูกฟรานเชสโก้ ตอตติ เตะระหว่างเกม จนล้มหัวคะมำ ในเกมโคปปา อิตาเลีย นัดชิงชนะเลิศ นัดที่ 2 เพราะต้องการแก้แค้นให้แฟนบอลโรม่า ที่บาโลเตลลี่เคยทำกิริยาไม่ให้เกียรติเอาไว้

          4. ในเกมยูโรปา ลีก ที่แมนฯ ซิตี้ พบ ดินาโม เคียฟ บาโลเตลลี่ กลับใส่เสื้อเอี๊ยมไม่เป็น ต้องให้สตาฟฟ์เข้ามาสอน จนกลายเป็นที่ล้อเลียนของแฟนบอลและเพื่อนร่วมทีม

          5. ยั่วริโอ เฟอร์ดินานด์ ด้วยการขยิบตา หลังจากกรรมการเป่าจบเกม เอฟเอ คัพ รอบรองชนะเลิศ ที่แมนฯ ซิตี้ ชนะ แมนฯ ยูฯ 1-0 ทำให้เฟอร์ดินานด์ออกอาการโมโหอย่างหนักจนวิ่งเข้าไปเอาเรื่อง

          6. บาโลเตลลี่ เคยจุดพลุในบ้านตัวเอง โดยยิงในห้องน้ำ ให้พุ่งไปยังหน้าต่าง ทว่าพลุกับถูกผ้าเช็ดตัวที่ตกอยู่ จนทำให้บ้านตัวเองไฟไหม้ ต้องเรียกพนักงานดับเพลิงให้รีบมาช่วยดับไฟ

          7. นอกจากท่าดีใจ โดยการถลกเสื้อโชว์ข้อความ "Why Always me ?" ที่แปลว่า "อะไรก็ (กรู)" จนทำให้เป็นประโยคยอดฮิตแล้ว ก็ยังทำสถิติโดนใบแดง 4 ใบในฤดูกาลเดียว สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าแก่โรแบร์โต มันชินี่ ผู้จัดการทีมแมนฯ ซิตี้ ขณะนั้นมาก เพราะให้การหนุนหลังบาโลเตลลี่ตลอด ไม่ว่าบาโลเตลลี่จะทำผิดอะไร ก็จะสัมภาษณ์ ปกป้องเสมอ

ถึงจะเกรียน แต่ก็ใจบุญนะ

          บาโลเตลลี่ ก็ยังมีอีกมุมหนึ่งที่น่าค้นหา ทำให้คนสงสัยว่า ตกลงเป็นคนเช่นไรกันแน่ ? เมื่อพบว่า ได้ทำบุญอุปถัมภ์โรงเรียนในซูดานใต้ หลังโรงเรียนประสบปัญหาทางด้านการเงินอยู่

          นอกจากนี้ บาโลเตลลี่ยังให้การสนับสนุนองค์กร NYPAW (Network of Young People Affected by War) ในการช่วยเหลือเด็กที่ได้รับผลกระทบจากสงคราม และองค์การการกุศลอื่น ๆ อีกมากมายก่ายกองในถิ่นทุรกันดาร

          และนี่ก็คือเรื่องราวของ มาริโอ บาโลเตลลี่ แบบคร่าว ๆ ซึ่งถือว่าเป็นนักฟุตบอลที่สร้างสีสันให้แก่วงการฟุตบอลเป็นอย่างมาก และผู้อ่านคงจะได้เห็นบาโลเตลลี่ในอีกหลายมุมมากขึ้น จนทำให้หลงรักเขาได้ไม่ยาก ขณะที่แฟนบอลลิเวอร์พูลคงต้องลุ้นกันน่าดูว่า การซื้อตัวครั้งนี้จะออกหัวหรือออกก้อย

 

 

 

 

 

 

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
มาริโอ บาโลเตลลี่ ศูนย์หน้าป้ายแดง ของลิเวอร์พูล อัปเดตล่าสุด 3 กันยายน 2557 เวลา 12:38:35 37,454 อ่าน
TOP