โหมโรง เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ ไฟนอล

 

ภาพข่าว AFP

"ช้างศึก" ทีมชาติไทย ที่ได้แม่ทัพคนเก่งอย่าง "โค้ชซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง มาคุมทัพถือว่าโชว์ฟอร์มการเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมในทัวร์นาเม้นท์นี้ โดยยังไม่เคยปราชัยให้กับทีมไหนเลย ส่วนทาง "เสือเหลือง" มาเลเซีย ของ กุนซือดอลล่าห์ ซัลเลย์ ถือว่าทะลุเข้ามาชิงชนะเลิศได้อย่าปาฏิหาริย์ทีเดียว

โดยในรอบรองชนะเลิศเกมแรก ไทย บุกออกไปเจ๊ากับ ฟิลิปปินส์ 0-0 ก่อนที่ "ช้างศึก" จะกลับมาไล่ยำใหญ่ "ดิ อัซกาลส์" ในรังของตัวเองต่อหน้าแฟนบอลกว่า 50,000 คน ไปถึง 3-0 จนเข้ารอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ

ส่วนทาง "เสือเหลือง" มาเลเซีย ถือว่ามีโชคเป็นอย่างมากที่ได้ผ่านเข้ามาชิงชนะเลิศเนื่องจากว่าเกมแรกของรอบรองชนะเลิศพวกเขาพ่ายแพ้ต่อ เวียดนาม ในบ้านตัว 1-2 ทว่าในเกมที่สองกลับบุกออกไปเอาชนะ "นักสู้สกุลเหงียน" ถึงรังแบบเซอร์ไพรส์สุด ๆ 4-2

โดยในเกมรอบชิงชนะเลิศนัดแรกที่กำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า คงจะไม่มีอะไรที่คนไทยต้องการมากไปกว่าการเอาชนะผู้มาเยือนให้จงได้ ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อถึงเวลาจริง ๆ เกมการแข่งขันมันก็ต้องมีตรรกะให้วิเคราะห์กันบ้าง

เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง กำลังจะพาน้อง ๆ เป็นแชมป์ อย่างที่เขาเคยทำมาก่อนสมัยเป็นผู้เล่น

โยนสถิติเก่า ๆ ทิ้งไปได้เลย

ก่อนหน้านี้ ไทย เคยเจอกับ มาเลเซีย ในการแข่งขันรายการนี้มาแล้วถึง 11 หนด้วยกัน ซึ่ง ทีมชาติไทย เป็นฝ่ายเอาชนะไปได้ถึง 6 ครั้ง เสมอ 3 ครั้ง และแพ้ 2 ครั้ง แน่นอนว่าชัยชนะเกมล่าสุดคือการแข่งขันในรอบแบ่งกลุ่มที่ ช้างศึก เฉือนเอาชนะไปได้หวุดหวิด 3-2 

อย่างที่จั่วหัวมาคือ "โยนสถิติเก่า ๆ ทิ้งไปได้เลย" นั่นหมายความว่า ทีมชาติไทย ชุดนี้เป็นขุมกำลังที่เต็มไปด้วยผู้เล่นพลังหนุ่มที่กระหายในชัยชนะ และความสำเร็จ จึงได้มีทีมแกนหลักเป็นผู้เล่น ยังบลัด เกือบจะทั้งหมด โดยมีผู้เล่นเก๋าประสบการณ์มาคอยประคองน้อง ๆ ในบางส่วน ซึ่งแน่นอนว่า สถิติเก่า ๆ ก่อนหน้านี้มันก็เป็นของผู้เล่นชุดอื่น แต่กับผู้เล่นชุดนี้ความหวังยังมีอย่างไม่สิ้นสุด

และอย่างที่หลาย ๆ คนสงสัยว่าทำไม "โค้ชซิโก้" ถึงไม่เรียกผู้เล่นเก๋า ๆ และฝีเท้าดีอีกหลาย ๆ คนมาร่วมทีม นั่นเป็นเพราะว่าปรัชญาในการทำฟุตบอลของ อดีตหัวหอกจอมตีลังกา มองว่าผู้เล่นสายเลือดใหม่มีความกระหายที่ยากจะหายใครมาเทียมทาน และพร้อมที่จะสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับทีมชาติไทยนั่นเอง

ส่วนทาง มาเลเซีย พวกเขายังคงเน้นไปที่ผู้เล่นที่เก๋าประสบการณ์ ซึ่งทุก ๆ คนก็ได้เห็นไปแล้วว่าพวกเขาแน่แค่ไหนที่สามารถพลิกชะตาจากที่จะตกรอบอยู่แล้วแท้ ๆ แต่กลับกลายเป็นว่าสามารถเข้ามาชิงชนะเลิศได้สำเร็จ ซึ่งทีมชาติไทยจะประมาทไม่ได้เลยทีเดียว

ช้างศึก ดูเหนือกว่าคู่แข่ง

สาเหตุที่ทำให้ ทีมชาติไทย ดูเหนือกว่านั่นเป็นเพราะว่า แข้งช้างศึก เคยเป็นแชมป์การแข่งขันรายการนี้มาแล้วถึง 3 ครั้งด้วยกันในปี 1996, 2000 และ 2002 ซึ่ง เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ผู้ที่เป็นกุนซือในตอนนี้ก็เคยเป็นแชมป์มาแล้วสมัยที่ยังค้าแข้งอยู่ และในตอนนี้เขากำลังจะพาลูกทีมของเขาล่าแชมป์ในฐานะเฮดโค้ช

แน่นอนว่าการแข่งขันในรอบแบ่งกลุ่มส่งผลให้ ทีมชาติไทย กลายเป็นตัวเต็งไปโดยปริยาย เนื่องจากว่าสามารถเอาชนะทีมอย่าง สิงคโปร์, มาเลเซีย และเมียนมาร์ ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก แถมยังเอาชนะ ฟิลิปปินส์ ในรังเหย้าของตัวเองได้แบบเด็ดขาด และนั่นคือเหตุผลว่าทำไม ทีมชาติไทย ถึงดูเหนือกว่า มาเลเซีย

มาเลเซีย มีแต่ผู้เล่นเก๋า ๆ เขี้ยวลากดินเต็มไปหมด

เสือเหลือง จอมเก๋า

มาเลเซีย ยังคงเป็นทีมที่เต็มไปด้วยสตาร์หน้าเดิม ๆ ของทีม เพราะว่ากุนซือ ดอลล่าห์ ซัลเลย์ มองว่าการมาแข่งขันรายการใหญ่แบบนี้จำเป็นต้องใช้นักเตะที่มีประสบการณ์มาช่วยทีมซึ่งเขาเลือกใช้นักเตะที่มีผลงานในลีกของตัวเองที่ดีเยี่ยมเป็นหลัก

อัมรี่ ยาย่าห์ ถือว่าเป็นผู้เล่นที่เป็นตัวทีเด็ดของทีมเสือเหลืองเลยก็ว่าได้เพราะว่าเจ้าตัวระเบิดตาข่ายในการแข่งขัน มาเลเซีย ลีก เป็นว่าเล่นกับทีม จอฮอร์ ดารูล ทัคซิม นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไม ดอลล่าห์ ซัลเลย์ จึงไว้ใจเขามากเป็นพิเศษ นอกจากนี้ยังมีกองหลังจอมเก๋าตัวจริงวัย 35 ปี อย่าง ชูคอร์ อาดาน คอยป้องกันแนวรับอีกด้วย ทว่าเจ้าตัวได้รับบาดเจ็บจากการแข่งขันกับ เวียดนาม ซึ่งในเกมที่จะต้องไปเยือนประเทศไทยเขาอาจจะหมดสิทธิ์ลงสนาม

การแข่งขัน เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ รอบไฟนอล นัดแรกที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น จะเป็นเกมการแข่งขันที่ยอดเยี่ยมแน่นอน และไม่ใช่เพียงแค่ชาวเอเชียเท่านั้นที่ให้ความสนใจในการแข่งขันนี้ แต่เป็นทั้งโลกที่กำลังทึ่งในการพัฒนาทีมที่ยอดเยี่ยมของชาติที่ไม่ได้ใหญ่อย่างมากอย่างทีมชาติไทยที่สามารถโชว์ผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม นับมาตั้งแต่การแข่งขัน เอเชียนเกมส์ 2014 ที่ผ่านมา  

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
โหมโรง เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ ไฟนอล อัปเดตล่าสุด 17 ธันวาคม 2557 เวลา 20:11:58 14,060 อ่าน
TOP