เปิดใจพ่อ ชนาธิป แบบหมดเปลือก กว่าจะมาเป็น เมสซี่เจ ในวันนี้

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก  เฟซบุ๊ก  J Chanathip Songkrasin - Fanpage , AFF Suzuki Cup
 
            เปิดใจพ่อ ชนาธิป สรงกระสินธ์ แบบหมดเปลือก เผยเส้นทางกว่าจะมาเป็น เมสซี่เจ ชนาธิป สรงกระสินธ์ ในวันนี้ ที่ผ่านมาเจออะไรมาบ้าง

           หลังจากทีมชาติไทยสามารถคว้าแชมป์ เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ 2014 ได้สำเร็จ โดยชาริล ชัปปุยส์ กับ ชนาธิป สรงกระสินธ์ เป็นผู้ทำประตูชัยให้กับทีมชาติไทย ดับฝัน "เสือเหลือง" มาเลเซีย เมื่อค่ำคืนวันเสาร์ที่ 20 ธันวาคม 2557 ที่ผ่านมา ชัยชนะครั้งนี้สร้างความสุขให้แก่คนไทยเป็นอย่างมาก และยังปลุกกระแสฟุตบอลไทยฟีเว่อร์กลับมาอีกครั้ง ซึ่งนอกจาก ชาริล ชัปปุยส์ ที่เป็นขวัญใจของสาว ๆ แล้ว ชนาธิป สรงกระสินธ์ หรือเมสซี่เจ ก็ได้รับความสนใจไม่แพ้กันเลยล่ะ

           โดยในวันนี้ (22 ธันวาคม 2557) ไทยพีบีเอสออนไลน์ ได้พาแฟนบอลไปรู้จักกับ เจ ชนาธิป ผ่านผู้อยู่เบื้องหลังคือ คุณพ่อก้องภพ สรงกระสินธ์ ที่ได้ทุ่มเทการเล่นบอลไปพร้อม ๆ กับลูกชาย ซึ่งคุณพ่อก้องภพก็ได้เล่าเรื่องราวในอดีตที่ทำให้ลูกชายกลายมาเป็นที่รู้จักในวันนี้ว่า...

 

ตั้งเป้าหมายให้ลูกชายตั้งแต่ยังเด็ก

          "ในชีวิตผมพอมีลูกชาย ผมปักธงตั้งแต่ในท้องแล้วว่าถ้าได้ลูกชายจะให้เล่นบอล พอเขาโตขึ้นมา 4-5 ขวบ ก็เดินไปปักธงไว้เลยคือตั้งความหวังไว้เลย แล้วผมก็เดินย้อนกลับมา ทำทุกวิถีทางเพื่อให้เขาไปให้ถึงเป้าหมาย จะถึงไม่ถึงไม่รู้ แต่ผมมีเป้าหมายไว้แล้วที่จะให้เขาเดินไป พอถึงตอนนั้นเราเริ่มเลย ทำทุกอย่าง เสียสละความสุขส่วนตัว บางทีจะไปเที่ยวกับเพื่อน ผมตัดหมด ผมให้ครอบครัวก่อน คนอื่นอาจจะทำไม่ได้ เพราะผมค้าขายอยู่กับบ้าน ผมคลุกคลีอยู่กับเขา คนอื่นอาจจะทำราชการก็อาจจะไม่ได้

          แต่ถ้าจะทำให้เก่งเหมือน “เจ” คุณต้องเลียสละแล้วซ้อมทุกวัน คือทำยังไงก็ได้ให้บอลเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขา เย็นมาต้องซ้อม แต่ตอนเล็ก ๆ เขาไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมต้องซ้อมบอลทุกวัน มันเป็นความคิดของผมว่า ถ้าเรามายัดเขาตอนโต เบสิคมันยัดไม่ได้ อายุ 16-17 ปี เขาจะเริ่มเข้าสู่วัยหนุ่มสาว เขาจะเริ่มแต่งตัว จะให้มาถอดเสื้อกลางแดดวิ่งซ้อมเดาะบอลคงไม่เอา ตอนเล็ก ๆ ผมมีมอเตอร์ไซค์คันนึง บอลลูกนึง มีกรวย, น้ำ, นม ตอนเย็นตรงไหนมีที่ว่างพอซ้อมบอลได้ จะพื้นปูนข้างถนน ผมซ้อมหมด ให้เขาทำอะไรเขาทำ แต่ถ้าปล่อยให้มาเริ่มทำตอนนี้ไม่มีทางหรอก"

ปลูกฝังลูกชายให้บ้าฟุตบอล

          "ตั้งแต่เจเริ่มเดินได้ประมาณอายุ 7 เดือน เวลาพ่ออ่านหนังสือพิมพ์ เจอลูกบอล ในข่าวกีฬาจะมีรูปลูกบอล พ่อก็จะบอกว่า “เจ บอล !” เขาก็เดินมาแล้วเตะหนังสือพิมพ์ปลิวกระเด็น เขาไม่รู้หรอกว่าอะไร แต่เราก็ปลูกฝัง ทุกวันนี้เวลาเจเลี้ยงบอลไปคู่ต่อสู้ดักไม่ถูก คือเลี้ยงไปซ้าย และเจก็ไปขวาต่อ พอจะดัก ก็ไปซ้ายอีก ดักไม่ถูก มันถึงได้หลุดไปเรื่อย

          ตอนเจอายุสัก 4-5 ขวบ พ่อเริ่มปักธงคิดว่าถ้าเจไม่เอาฟุตบอลก็มีพี่ชายเขา คือตอนนั้นผมซื้อชุดมา 2 ชุด ตอนเล็ก ๆ เจใส่แมนยู พี่ชายใส่ลิเวอร์พูล โยนบอลให้เขาลูกนึงให้เขาเล่น ไอ้นั่นไม่เล่นแต่เจเล่น ผมก็ให้เขาชอบก่อน พอเรารู้แล้วคนนั้นไม่เอาก็ให้เขาเรียน เราไปบังคับเขาไม่ได้ เจนี่เราให้เขาบ้าตั้งแต่เล็ก ๆ แล้ว พอเขาชอบก็ยัดเต็มที่เลย"

เป็นโค้ชให้ลูกเอง พ่อเล่นบอลไม่เก่ง แต่สอนลูกได้

          "ผมเป็นคนชอบศึกษาตั้งแต่ยังไม่ได้แต่งงานกับแม่ของเจ ผมชอบฟุตบอลมาก ตระเวนดูบอล เดินสายดูทีมชาติ เราก็เล่นฟุตบอล แต่เราไม่เก่ง เราก็เก็บกด เราก็รู้ว่าอ๋อ ฟุตบอลมันต้องวัดกันด้วยสกิล เบสิคพื้นฐาน ถ้าเบสิคแน่นเราสามารถสู้กับเขาได้ ผมเขียนเป็นตำราเก็บเป็นลูกเล่นของแต่ละคน คนนี้เล่นแบบนี้ มีลีลาลูกเล่นแบบนี้ ยังจดไว้ที่บ้าน บางคนที่เขาชอบบอลเอาลูกไปฝึกตามศูนย์ผมก็เคยไปนะ ผมเสียเงินครั้งแรก 1,300 บาท ตอนเจอายุประมาณ 6 ขวบ เรียนได้ 2 เดือน แล้วก็ไม่เคยเอาไปเสียเงินที่ไหนอีกเลย อาจจะมีมาเปิดคลินิคสอนเรียนฟรี เราก็เอาเจไปกับเขาเพื่อว่าจะได้มีเพื่อน เรียนรู้การเล่นของโค้ชแต่ละคน แต่พื้นฐานจริง ๆ ผมเป็นคนยัดให้มา อยู่บ้านซ้อมทุกวัน แต่ผมไม่ใช่ซ้อมแบบไม่มีครู ผมขอตำราจาก อ.วิทยา เลาหกุล, ซีดีของปิยะพงษ์ ผิวอ่อน ที่ทำแจกฟรี, ซื้อวีดีโอมาราโดนา ซีดีของร้านสตาร์ซ็อคเกอร์ไปเปิดดู แล้วก็รู้จักกับนักเตะทีมชาติอีกคน คือ ลุงสุรวุฒิ เลาหกาญจนศิริ อดีตนักเตะทีมชาติไทย เขาสนิทกับผม มีอะไรผมก็จะปรึกษาเขา เขาก็จะแนะแนวในการสอนลูก"

 

มีนโยบายส่วนตัวไม่ให้ลูกทิ้งบอล

          "ผมเคยฝึกเขาตั้งแต่ 4-5 ขวบ พอ 4 ขวบ เริ่มทำความคุ้นเคยกับบอลหน้าบ้าน พอเขาอายุ 10 ขวบ ถึงพาเขามาคัดตัวโรงเรียนกีฬา กทม. ช่วงระยะเวลา 5 ปี ฝึกแต่เบสิคล้วน ๆ คือ เบสิคพื้นฐาน การเลี้ยง, ส่ง, โหม่ง ถ้าอยู่บ้านผมให้ซ้อมตั้งกรวย เลื้อยบอล, แปรบอล เราแปรขวาถนัดแล้ว 100 ที วันต่อไปเอาซ้ายเลย ไม่ต้องแปรขวาแล้ว แปรซ้ายเลย ให้แปรอยู่นั้นแหละ แล้วพอเขาเจอบอลเขาจะคล่อง

           เราก็มีนโยบายคุยกันบอกว่าเจพ่อสอนหนู พ่ออยากให้หนูติดทีมชาติ อยากให้หนูเล่นด้วยความเป็นเลิศ หนูจะเล่นไหม ถ้าไม่เล่น หนูเข้าบ้านเลย ไปดูหนังสือ ทำงานนะ พี่เขาเรียนช่วยทำงาน แต่ถ้าหนูเล่นบอล งานบ้านทุกอย่างหนูไม่ต้องช่วย หนูมีหน้าที่เล่นบอล บอกเขาอย่างนั้น เด็กก็ชอบสิ ช่วงนั้นจะมีร้านเกม ชั่วโมงละ 20 บาท เขาก็อยากไปเล่น เราก็กุศโลบายเลย ซ้อมบอลกับพ่อก่อนไหม ชั่วโมงหรือครึ่งชั่วโมงก็ได้ให้พ่อเห็น ให้พ่อพอใจ แล้วเดี๋ยวให้ไปเล่น บางวันเขากลับมาจากโรงเรียนรีบไปตั้งกรวยเลย ทำเหมือนที่เราเคยสอน ซ้อมเลย เดาะบอล, แปรบอล พอเสร็จเรียบร้อยเขาจะบอกเลย “พ่อ เสร็จแล้วนะ” เราก็ยิ้มในใจ เราก็ให้ตังค์เขาไป ต้องมีอะไรหลอกล่อเขา ผมจะดุเฉพาะตอนซ้อม"

ยอมรับบ้าจริง เผยตบลูกชายก็เคยมาแล้ว

         "ผมยอมรับผมบ้าจริง ทะเลาะกับภรรยาตั้งไม่รู้กี่หน กับเจผมก็ตบจริง ตอนนั้นพาไปคัดโรงเรียนกีฬา กทม. เมื่อปี 2545 เข้ามาคัด แต่ก่อนมาคัด จักรยานมันไปชนเสาไฟแล้วไข่ดันบวม มันเจ็บ พอมาคัดมันก็ไม่สมบูรณ์ ผมบอกให้มันมาคัดเล่นกลางกับหน้า มันไปบอกเขาเล่นหลัง แล้วตัวมันเล็ก ทุกวันนี้ยังขนาดนี้ ตอนเล็ก ๆ จะขนาดไหน ผมก็นั่งมองเขาคัด โอ้โห เล่นไรของมันเนี้ย ต่ำกว่ามาตรฐานมากเลย พอออกมาปุ๊ป ผมก็พาไปข้างหลังสนามไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง ผมตบเลย โผล๊ะ “เป็นอะไร พ่อให้เล่นตำแหน่งอะไร” แล้วก็ก้มหน้าร้องไห้ ตอนนั้นเจ ป.4 ภรรยาโทรเข้ามือถือเลย “ไอจุ้งตบลูกหรอ” แม่เขาก็นั่งแท็กซี่มาจากสามพราน มาสนามไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง ผมนึกในใจแล้วตอนนั้นว่าคงไม่ติด เพราะมันตัวเล็ก แล้วยังไปเล่นหลังแล้วเจ็บอีก แต่คัดตัวโรงเรียนกีฬา กทม. เขาจะคัดเป็นสถานี ดูเบสิคแต่ละคน ซึ่งผมก็ว่าไม่ติด คือผมตั้งความหวังไว้สูง ซ้อมมาตั้งนาน พาไปซ้อม ไปแข่ง ลงทีม บางทีไปขอเขาลงทีม ไม่รู้จักก็ไปขอเขาลงทีมด้วย แต่พอมาถึงวันจริงเป็นวันสำคัญต้องคัดตัวมาเจ็บอย่างนี้ ทำให้ผมแบบ...เส้นทางฟุตบอลเขามาอย่างนี้ แต่สุดท้ายเขาก็ติดโรงเรียนกีฬา"

ไม่เคยท้อ แต่ลูกชายท้อ

          "ผมไม่ท้อ ไม่เคยท้อ พ่อไม่ท้อ แต่เจอาจจะท้อ แต่ว่าผมรู้ ผมไม่ท้อ ผมก็บอกเขาว่า “ไม่เป็นไร เดี๋ยวเรามาสู้ใหม่” ตอนเขาอายุ 12 ปี เขาจบ ป.6 โรงเรียนกีฬา กทม. ผมก็พากลับไปเรียนที่บ้าน เรียนที่สามพราน แต่มีเพื่อน ๆ เขาที่เกิดปี 2537 ซึ่งตอนคัดโรงเรียนกีฬา กทม. มารวมเล่นกัน แต่เจกลับบ้านก่อน แล้วเพื่อน ๆ เขาตอนหลังย้ายไปเรียนอัสสัมชัญธนบุรี ติดทีมชาติไปไซตามะ รุ่น 12 ปี หลายคนเลย พอเจเขารู้ว่าเพื่อนเขาติดเขาก็ถามว่า “เพื่อนเขาติดทีมชาติกันหลายคนเลย แล้วหนูจะมีโอกาสบ้างไหม” ผมก็บอกว่า “ใจเย็น ๆ ลูก เดี๋ยวเราไปวัดกัน 17-18 ปีละกัน ตอนเย็นเดี๋ยวพ่อพาเดินสายแข่ง ให้เราเก่งอย่างเดียว พอมีโอกาสเราสู้กันใหม่”

          ตอนผมพาเขากลับมาอยู่บ้าน ผมบอกเขาว่า “เจกลับไปอยู่บ้านนะลูก เราไปสู้กันใหม่” ผมนึกในใจ เจก็ยังไม่รู้ ผมกะว่ากลับมาแล้วผมจะเข้ากรุงเทพฯ ใหม่ ผมจะเข้าไปสู้ใหม่ พอเขาจบ ม.3 ที่สามพรานวิทยา ผมก็พาเขามาคัดที่พณิชยการราชดำเนิน แต่ก่อนไปคัดที่นั่นก็พาไปคัดหลายที่ ทั้งที่คริสเตียนก็ไปแต่เขาไม่เอา ไปคัดอัสสัมชัญพาณิชยการติดแต่เขาล้มเลิกโครงการ อัสสัมชัญธนบุรีไม่เอา เพราะเจคร่อมรุ่น เขาไม่ได้สร้างเด็กรุ่น 2536 เขาทำรุ่น 2537 เขาก็ไม่เอา ผมก็เลยมาคัดที่พณิชยการราชดำเนินแล้วก็ติด จุดประกายจากอายุ 16 ปี ที่พาณิชยการราชดำเนิน เพราะผมต้องการเอาลูกมากรุงเทพฯ โอกาสมันเยอะกว่า แล้วผมต้องมองการไกลให้ลูกด้วย ผมต้องการเอาลูกมาเล่น 16 ปี เพราะฟุตบอลเก่ง ๆ มันจะอยู่ประเภท ก. ซึ่งฟุตบอลโรงเรียนจะมี ก., ข., ค., ง. จะแบ่งเกรด ซึ่งผมมั่นใจว่าลูกผมเล่น ก.ได้ ผมก็ต้องพาเขามาคัดโรงเรียนที่ได้เล่น ประเภท ก. เวลาไปคัดผมก็จะต้องดูชั้นโรงเรียนด้วย พณิชยการราชดำเนิน อยู่ประเภท ก. ก็เลยไป มีโรงเรียนอื่นมาติดต่อด้วยเหมือนกัน แต่ผมดูแล้วยังอยู่เล็ก ๆ ผมก็ไม่ไป เพราะเมื่อก่อนตอนอยู่โรงเรียนกีฬากรุงเทพฯ มีแต่เพื่อนเก่ง ๆ ทั้งนั้นแล้วเราจะไปอยู่ทำไมเล็ก ๆ"

 

ถึงตัวเล็ก แต่เก่งเบสิค

           "ไม่เคยท้อเลย ผมดูแล้วว่าเบสิคเขาเทียบกับรุ่นเดียวกัน ผมตามดูบอลเด็กหมดเลย รุ่นเดียวกับเขา อย่างเจเกิดปี 2536 ผมจะไปตามดูบอลเด็กรุ่น 36 ว่าเขาเป็นยังไง มีใครเหนือกว่าเจไหม ผมดูแล้วสู้เจไม่ได้ เพียงแต่เจเขาเล็ก ผมก็คิดในใจว่าไม่เป็นไรเดี๋ยววัดกัน 17-18 ปี เพราะฟุตบอลไปวัดกันตอนนั้น ร่างกายมาความคิดมามันจะเล่นได้ เล็ก ๆ คือ ยังไม่เข้าใจเกม พอได้บอลก็ประคองบอล พอตัวใหญ่ ๆ มากระแทกเขาก็เสียบอล พอโตขึ้นมีความแข็งแกร่ง ความคิดเขาก็จะมา ซึ่งช่วง 16-17 ปี ความแข็งแกร่งเขามาแล้ว แล้วความคิดเขาก็มากกว่าตอนเป็นเด็กเล็ก ๆ ยังไม่รู้วิธีการเล่น ตอนเด็กเขารู้เบสิค จับบอล แปรบอล แต่การเล่นเป็นกลุ่มเขาจะยังไม่เป็น พอโตขึ้นมาก็ได้เรียนรู้ไปซ้อมตามโรงเรียน"

เล่นเพื่อทีม มีน้ำใจนักกีฬา

          "เขาเป็นเด็กมีสัมมาคารวะตั้งแต่เล็ก ๆ เวลาไปซ้อมบอล ขี่มอเตอร์ไซค์ไปกับผมตอนเย็น ๆ ผมก็สอนเขาว่าเวลาพ่อเจอใคร จอดรถคุยกับใคร เขาจะนั่งข้างหน้า ผมจะสอนเขาเลย เจสวัสดีก่อนเลยนะ เลยทำให้เขาติดนอบน้อมถ่อมตน เวลาเจอใครเขาจะสวัสดีก่อน รู้จักไม่รู้จักถ้าเรียกเขาเจเขาก็จะสวัสดี นักบอลบางคนพอดังแล้วเหลิง คือ การปลูกฝังให้มีน้ำใจในสนาม เล่นไม่เตะคู่ต่อสู้ มีแต่คู่ต่อสู้จะเตะเขา เขาก็เป็นคนมีน้ำใจ เขาเหมือนผ้าขาว ส่งให้ใครจะยิงก็ได้ เขาไม่ต้องยิงหรอก คือ ผมส่งให้คุณยิง ใครจะยิงก็ได้ เขาเล่นเพื่อทีม"

บางทีก็ต้องเห็นแก่ตัวบ้าง

          "พอใจกับความคิดของเขา แต่ถ้าเป็นนักบอลอาชีพบางทีต้องมีความเห็นแก่ตัวบ้าง ฟุตบอลอาชีพวัดกันที่การยิงประตู ต้องการประตู ไม่ได้ต้องการคนมีน้ำใจ น้ำใจไม่มีในนักบอลอาชีพ ถ้ามีน้ำใจจะมาเสียบทำไม เพราะบอลอาชีพเขาเล่นกันหนัก พอจบแล้วจบกัน เจไปญี่ปุ่นเจได้ข้อคิดมา เขาบอกว่าเจเวลาคุณอยู่ในกรอบเขตโทษ คุณยิงได้คุณต้องใส่ไม่ต้องส่งให้ใครแล้ว เพราะฟุตบอลวัดกันที่ผลทำประตู พอมาเล่นฟุตบอลอาชีพที่ บีอีซี เทโรศาสน ตอนซ้อมแล้วเจหลุดไปหน้าประตู ลูกมันยิงได้ยังไงก็เข้าแต่ไม่ยิง ไปเล่นแบบเหนือชั้น ส่งให้เพื่อนแล้วก็ไม่ได้จบด้วยการยิงประตู ฝรั่งด่าเลย ผมเคยนั่งคู่กับฝรั่ง เขาลุกด่าเลย ฆ่าได้ต้องฆ่า บอลอาชีพลงทุนเป็นล้าน หลาย ๆ ล้าน คุณมาเล่นเหมือนบอล อบต. ไม่ได้ เล่นไปหัวเราะไปไม่ได้"

คนอื่นชม แต่พ่อต้องติ

          "บางทีถ้าเขาดีในเกมไม่มีอะไรเสียก็ชม เขาโตแล้วจะไปติเขามากก็ไม่ได้ เพียงแต่ว่าฟุตบอลมันไม่ได้ว่าเล่นดีทุกแมตช์ มันต้องมีผิดพลาดบ้าง แต่เราต้องดู อย่างเช่น นัดชิงชนะเลิศ ซูซูกิ คัพ รอบแรก มาเลเซียเขาเล่นแรง เราก็ต้องระวัง เซฟตัวเอง เพราะว่ายังมีอีกแมตช์ ถ้าผิดพลาดอะไรไป แมตช์ต่อไปไม่ได้เล่นเลยมันก็เป็นผลเสียต่อทีม ต้องค่อย ๆ เล่น ฟุตบอลมีตั้ง 90 นาที แล้วเราก็เหลืออีก 90 นาทีที่บ้านของเขา ซึ่งภาพรวมโอเค ที่ผมมองว่าเขายังไม่พีคที่สุด คือ พ่อต้องเก็บทักษะส่วนตัวของเขา ดูการเล่น การจ่ายบอลของเขา ครึ่งแรกยังมีติดจ่ายติด เฟิร์สคัทบางจังหวะยังไม่นวล เราไม่ได้มองเหมือนแฟนทั่วไป

          ในนัดนั้น สายตาผมที่ติดตามเขามาตั้งแต่เล่นบอลนักเรียนจนไทยลีก มาตรฐานดี ใช้ได้ แต่ไม่ถึงกับดีมาก ยังมีเสียการจับบอล ลูกโด่ง ยังเสียอยู่ 2-3 ลูก ถ้าจะดีจริง ๆ บอลมาต้องไม่เสีย ต้องเก็บได้ เรามองในฐานะเราเป็นโค้ช ยังมีบอลส่งมาแรงแล้วยังเกี่ยวไม่อยู่ ยังแฉลบ ปลิ้น"

สอนลูกให้เป็นคนของประชาชน

           "เจพูดเสมอว่าบอลเราต้องเล่นแบบบาร์ซ่า เล่นบอลกับพื้น เจเขาชอบเล่นบอลกับพื้นอยู่แล้ว ถ้าบอลกับพื้นมา มาเถอะ เขาไม่กลัวอยู่แล้ว แต่ถ้าบอลโด่ง เขาตัวเล็ก มันจะลำบากในการเล่น ก็โอเคนะถ้าจะเล่นแบบต่อบอลอย่างในนัดที่ผ่านมาอย่างนั้นได้ ความเข้าใจเกมต้องสูง ทักษะบอลกับพื้นต้องดี ก่อนบอลจะมาคุณต้องคิดต้องอ่านว่าจะให้ตัวไหน คุณต้องคิดไว้ก่อน ไม่ใช่บอลมาจับแล้วค่อยมอง แบบนั้นไม่ได้ คือ ทุกคนในทีมทักษะต้องสูงถึงจะเล่นบอลแบบนั้นได้ เราบอกเขาว่าพ่อเคยศึกษามาอย่างแบคแฮมเป็นคนดัง เขาจะเจอสถานการณ์หนักหนาสาหัส อารมณ์ไม่ดีอะไรมา แต่เวลาใครมาขอสัมภาษณ์เขาจะยิ้ม ถ่ายรูป ให้หมด หลังจากนั้นค่อยว่ากัน ก็จะสอนเจว่าเราเป็นคนของประชาชน"

เมื่อแม่สอนลูกชายนักบอล

           "เขาชอบผู้หญิงสวย เขาเคยบอกกับแม่เขาว่าจะทำตัวเจ้าชู้เหมือนคนอื่นไม่ได้ ทำอะไรไปเดี๋ยวเป็นข่าว ทำไปเดี๋ยวคนอื่นไม่เข้ามา เขาก็เปิดโอกาสให้ทุกคน เขาจะไม่พาไปกินข้าวไปดูหนัง คนที่จะเป็นแฟนเจได้ต้องดูแลเจได้ ถ้าดูแลไม่ได้งานบ้านไม่เป็นอยู่กันไม่ยืด ผมบอกตรง ๆ เลย งานบ้านเขาไม่เคยทำ ต้องเป็นคนที่ดูแลเขาได้ เพราะเขาทำงานรายได้เขาสูง เป็นเมียนักฟุตบอลดูแลความเป็นอยู่แล้วเขาก็หาเงินเข้าบ้าน ซึ่งถ้าไม่ใช่แบบนี้อยู่ไม่ได้หรอก เจไม่เอาใจผู้หญิง ผู้หญิงไปจุกจิกเขามากไม่ได้

          แม่จะเตือนเขา การเงินแม่เป็นคนเก็บ ให้ใช้เดือนละ 20,000 บาท แต่เวลาเขาได้เสริมเขาก็เก็บไว้ซื้อของ เขาเป็นคนใจกว้าง แม่จะเป็นคนสอน แม่ไม่ห้าม เราบอกว่า หนูต้องระวัง บางทีไม่ใช่ แล้วหนูไปทำอะไรเขา แล้วมันไม่ใช่ แล้วมันสายเกินไป มันแก้อะไรไม่ได้ ถ้าพลาดไปก็เป็นเรื่องเลย เราจะพูดกรอกหูบ่อย ๆ ซึ่งเขาเป็นคนขี้หงุดหงิดนะ เป็นคนไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวาย ได้แฟนเด็กคงไม่ดี คงต้องโตกว่าเขาหน่อยจะได้ดูแลเขาได้ เขาทำตามไหมไม่รู้ แต่ก็จะพูดว่าแม่รักหนูนะ ถ้าหนูรักแม่หนูต้องดูแลตัวเองให้ดีก่อน แล้วหนูถึงจะมาดูแลแม่ได้ พูดผ่านหูเรื่อย ๆ เขาเป็นคนรักพ่อแม่ รักพี่น้อง"

หลายสมาคมเริ่มเข้ามายืมตัวลูกชาย

           "ณ ตอนนี้เขาต้องการไปเล่นต่างประเทศ ขอแค่เจลีกก่อน ในความคิดของเขาและของผม เขาบอกว่า เขาเล่นได้ระดับเจลีก บางคนบอกว่าไปยุโรป ผมบอกว่าเรายังไม่ถึงเวลา เราเอาแค่นี้ก่อน เราต้องมองสรีระลูกเราด้วย สูงแค่ 160 ซม. เขามาขนาดนี้ ผมก็ว่าประสบความสำเร็จแล้ว ซึ่งเจเขาอาจจะเป็นไอดอลของเด็กตัวเล็ก ๆ ซึ่งถ้าเบสิคแน่นจริง ฉลาดในการเล่น ก็ติดทีมชาติได้เหมือนกัน

          เขาบอกว่าเขาอยากไปเจลีก เพื่อไปสร้างมูลค่าในตัวเอง ซึ่งถ้าไม่เก่งจริง เขาไม่จ้างคุณหรอก เพราะระดับอาเซียน เขาต้องการเบอร์ 1 เบอร์ต้น ๆ ของประเทศ ไม่เก่งเขาไม่เอา เล่นต่างประเทศแล้วกลับมา สมมติเล่นญี่ปุ่น 2 ปี กลับมาประเทศไทยเขาก็ค่าตัวอัพขึ้นอีก สโมสรก็ต้องแข่งกัน ตอนนี้ยังอยู่ เทโรฯ สัญญาถึง ปี 2559 ใครอยากทำอะไรก็ต้องไปคุยที่เทโรฯ ช่วงนี้ เทโรฯ ให้เซ็นแต่ผมบอกว่าใจเย็น ๆ เจยังอยู่อีก 2 ปี ถึงเวลานั้นค่อยมาคุยกับผม ตอนนี้ก็มี “เคลีก” “เจลีก” เข้ามาจะขอยืมตัว มีเอเย่นมาคุยกับผม ผมบอกว่าผมคุยอะไรไม่ได้ ไปคุยกับสโมสรเลยว่าเขาจะขายไหม จะปล่อยไหม แล้วสุดท้ายค่อยมาคุยกับผม เพราะอยู่ในสัญญา ผมทำอะไรไม่ได้"

อนาคตเตรียมสร้างสนามฟุตบอล

            "เจเกิดมาชีวิตเขาคล้ายมาราโดนา ผมเคยบนมาว่าขอเจให้เหมือนมาราโดนา เขาเกิดเดือนตุลาเหมือนกัน อายุ 20 ต้น ๆ ขาหักเหมือนกันถ้าจำไม่ผิด แล้วก็กลับมาเก่ง พอ 24 ปี เขาก็พีคพาทีมได้แชมป์ที่เม็กซิโก เขาเกิดมาดวงชะตาชีวิตเขา เขาเกิดมาเพื่อทำลายสถิติบางสิ่งบางอย่าง ทุกวันนี้เขาขึ้นมาเล่นไทยลีก เล่นเยาวชนได้รางวัลเยาวชนโกลเด้นบอล พอมาเล่นไทยลีกปีแรกเป็นอาชีพจริง ๆ ได้ดาวรุ่งไทยลีก เว้นปีที่แล้วที่เขาเจ็บ พอปีนี้คนโทรมาบอกว่าเจมีลุ้นนักเตะยอดเยี่ยมประจำปีของประเทศไทย เป็นอะไรทื่คนรุ่นหลังจะทำยากมาก ได้ 3 รางวัลนี้จบแล้ว ที่ผ่านมามี ดัสกร, ธีรศิลป์ แล้วก็ อุ้ม ธีราทร ที่เคยได้ 3 รางวัล

            พ่อกับแม่เก็บเงินซื้อที่แล้วจะปลูกบ้าน เจอยากปลูกบ้านให้พ่อกับแม่ แล้วเราก็จะทำสนามฟุตบอล ผมจะสร้างสนามฟุตบอล ทำอคาเดมี่ฝึกเด็ก ๆ ที่อยากเป็นนักฟุตบอล สร้างชนาธิปที่ 2 ชนาธิปที่ 3 ที่ 4 ต่อ ๆ ไป ผมว่าถ้าเด็ก ๆ มีโอกาส ฝึกถูกต้อง เบสิคดี เราก็มีโอกาสสร้างนักฟุตบอลเก่ง ๆ แบบชนาธิปได้อีกในอนาคต ส่วนเจเขาจะมาทำไหม อันนี้เป็นเรื่องของเขา แต่นี่คือสิ่งที่ผมอยากทำ หลังจากทำให้ลูกชายตัวเองประสบความสำเร็จแล้ว"

 

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
เปิดใจพ่อ ชนาธิป แบบหมดเปลือก กว่าจะมาเป็น เมสซี่เจ ในวันนี้ อัปเดตล่าสุด 22 ธันวาคม 2557 เวลา 14:19:52 49,333 อ่าน
TOP