CLASSIC FOOTBALL: มหาศึก เอล กลาซีโก้

เกมระหว่าง เรอัล มาดริด กับ บาร์เซโลน่า กลายเป็นเกมฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด มีคนสนใจติดตามมากที่สุดในโลก ด้วยความยอดเยี่ยมของทั้งสองสโมสร ในแง่ของเกียรติประวัติ ความสำเร็จ ทีมผู้เล่นของทั้งสองสโมสรที่รวมเอานักฟุตบอลที่เก่งที่สุดจากทั่วโลกมารวมไว้ด้วยกัน การแข่งขันขับเคี่ยวกันทั้งในด้านของการกีฬาและธุรกิจ และรวมถึงความขัดแย้งกันในอุดมการณ์ การต่อสู้ในประวัติศาสตร์ ทั้งหมดคือที่มาของชื่อ เอล กลาซีโก้


รอยร้าวในประวัติศาสตร์

เรอัล มาดริด กับ บาร์เซโลน่า เป็นการต่อสู้ที่ยิ่งกว่าเกมกีฬา เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 30 สโมสรฟุตบอลบาร์เซโลน่า เริ่มสั่งสมความสำเร็จ สร้างชื่อเสียงขึ้นมาในฐานะตัวแทนและสัญลักษณ์ของแคว้นกาตาลัน 

จนกระทั่งในปี 1936 เมื่อ จอมพลฟรานซิสโก้ ฟรานโก้ ก้าวขึ้นเป็นผู้นำเผด็จการของสเปน การแสดงออกในแง่ของเอกลักษณ์ทางด้านเชื้อชาติ และวัฒนธรรมเฉพาะตัวของ บาร์เซโลน่า จึงถือเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับนโยบายรวมชาติเป็นหนึ่งเดียว

สโมสรบาร์เซโลน่า กลายเป็นหนึ่งในสถาบันที่เป็นรัฐบาลกลางวางเป็นเป้าหมายที่จะต้องถูกกวาดล้างเทียบเคียงกับ ลัทธิคอมมิวนิสต์, ระบอบกษัตริย์ และ แนวคิดเสรีนิยม โจเซป ซุนโยล ประธานสโมสรบาร์ซ่า ถูกจับกุมและถูกตัดสินประหารชีวิตโดยไม่มีการไต่สวน นั่นยิ่งเพิ่มความรู้สึกเกลียดชังให้กับผู้คน ประชากรในแคว้นกาตาลันซึ่งมีลักษณะเฉพาะทางวัฒนธรรมและภาษา มีแนวคิดเรื่องการขอแยกประเทศอยู่แล้ว ยิ่งแสดงการต่อต้านอำนาจเผด็จการของ จอมพลฟรานโก้ มากขึ้น

เมื่อ บาร์เซโลน่า เป็นยิ่งกว่าสโมสรฟุตบอล แต่กลายเป็นสัญลักษณ์ที่สามารถขับเคลื่อนแนวคิดชาตินิยมของแคว้นกาตาลัน รัฐบาลเผด็จการจึงผลักดันสโมสร เรอัล มาดริด ขึ้นมาในฐานะสโมสรตัวแทนของชาติสเปน เพื่อให้เป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้เพื่อรวมชาติเป็นหนึ่งเดียว

เอล กลาซีโก้ บาร์เซโลน่า เรอัล มาดริด

อัลเฟรโด้ ดิ สเตฟาโน่ นักเตะคนสำคัญในประวัติศาสตร์ เอล กลาซีโก้


1943 - โกปา เดล เคเนราลีซีโม่ ความเกลียดชังครอบงำเกมกีฬา

ในวันที่ 13 มิถุนายน 1943 เรอัล มาดริด เอาชนะ บาร์เซโลน่า 11-1 ในเกมรอบรองชนะเลิศ นัดที่ 2 ของ ฟุตบอล โกปา โกปา เดล เคเนราลีซีโม่ (หรือ เจเนอรัล คัพ ชื่อรายการซึ่งถูกเปลี่ยนจาก โกปา เดล เรย์ เพื่อเป็นเกียรติแด่ท่านจอมพล) ผลการแข่งขันที่ออกมาแม้จะขาดลอยเป็นสถิติ แต่ก็ไม่น่าจะมีอะไรมากไปกว่านั้น หากไม่เป็นเพราะเรื่องราวเบื้องหลัง ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นความเป็นศัตรูอย่างเป็นรูปธรรม

ย้อนกลับไปในเกมนัดแรก บาร์เซโลน่า เอาชนะได้ก่อน 3-0 และเมื่อเกมนัดที่ 2 ที่มาดริด มาถึง ตามเรื่องราวที่ถูกเปิดเผยเล่าต่อกันมาระบุว่า ผู้เล่นของ บาร์ซ่า ถูกข่มขู่ต่าง ๆ นานา ทั้งจากเจ้าหน้าที่ตำรวจและผู้มีอิทธิพลในรัฐบาล  โค้ชของทีมถูกแฟนบอล เรอัล มาดริด ทำร้าย ส่วนในสนาม ผู้เล่นของ เรอัล มาดริด ก็สวมบทโหดไล่อัดนักเตะ บาร์เซโลน่า จนน่วม 

เมื่อเจอแบบนี้ผู้เล่น บาร์เซโลน่า ปฏิเสธที่จะลงไปเล่นต่อในครึ่งหลัง แต่กลับโดนเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้กำลังบังคับให้ต้องลงไปเล่นให้จบ

เฟร์นานโด อาร์คีล่า นายประตูสำรองของ บาร์เซโลน่า ในเกมนั้นเล่าว่า "ก่อนหน้านั้นมันไม่เคยมีความเป็นศัตรูอะไรมาก่อน ไม่เคยมี อย่างน้อยก็จนถึงเกมนัดนั้น"

เอล กลาซีโก้ บาร์เซโลน่า เรอัล มาดริด

หลังจากเปลี่ยนสีเสื้อไปอยู่กับ เรอัล มาดริด แฟน บาร์เซโลน่า ก็รู้สึกกับ หลุยส์ ฟิโก้ แบบนี้


ศึกชิงตัว ดิ สเตฟาโน่

ความขัดแย้งครั้งใหญ่เกิดขึ้นอีกครั้งในทศวรรษที่ 50 นั่นก็คือเรื่องของการแย่งตัว อัลเฟรโด้ ดิ สเตฟาโน่

ดิ สเตฟาโน่ ยอดนักเตะเพชรเม็ดงามจากอาร์เจนตินา เป็นที่สนใจของทั้ง บาร์เซโลน่า และ เรอัล มาดริด ทั้งสองทีมพยายามอย่างถึงที่สุดที่จะคว้าตัวนักเตะรายนี้มาร่วมทีมให้ได้ ชนิดที่ไม่มีใครยอมใคร การซื้อ-ขายผู้เล่นในสมัยนั้นจะมีความสับสนอย่างไรไม่อาจทราบได้ แต่ในที่สุด ฟีฟ่า ต้องเป็นผู้ตัดสินโดยให้ ดิ สเตฟาโน่ ลงเล่นให้ทั้งสองทีม ทีมละ 1 ฤดูกาลสลับกันไป

ทว่าเรื่องไม่จบแค่นั้น เมื่ออยู่ ๆ ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันภายในสโมสรบาร์เซโลน่า ประธานสโมสรถูกบีบให้ลาออก แล้วมีประธานคนใหม่เข้ามารักษาการแทน ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อประธานรักษาการดันมาสั่งยกเลิกการเซ็นสัญญา ดิ สเตฟาโน่ เอาดื้อ ๆ ซึ่งใครก็มองออกว่าต้องมีอำนาจของ จอมพลฟรานโก้ อยู่เบื้องหลัง แน่นอนว่าฝ่าย เรอัล มาดริด ปฏิเสธที่จะยอมรับในเรื่องนี้

เหตุการณ์หลังจากนั้น ดิ สเตฟาโน่ กลายเป็นนักเตะ เรอัล มาดริด เต็มตัว และทุกคนคงรู้แล้วว่าต่อมาเกิดอะไรขึ้น นักเตะเชื้อสายอาร์เจนไตน์ผู้นี้นำทีมคว้าแชมป์ยุโรป 5 สมัยรวดและกลายเป็นตำนานของสโมสรจวบจนทุกวันนี้

เอล กลาซีโก้ บาร์เซโลน่า เรอัล มาดริด

ความดุเดือดไม่เคยจางหายจากศึก เอล กลาซีโก้


ความขัดแย้งในยุคหลัง

ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ความขัดแย้งเกิดขึ้นรุนแรงในกรณีของการย้ายทีมของผู้เล่น ที่ย้ายโดยตรงระหว่าง 2 สโมสร โดยที่ย้ายจาก บาร์เซโลน่า ไปสวมเสื้อ เรอัล มาดริด ก็มี แบร์นด์ ชูสเตอร์ ขบถลูกหนังชาวเยอรมัน ในปี 1988 ตามด้วย ไมเคิ่ล เลาดรู๊ป ที่ย้ายข้ามฟากไปแบบไม่มีค่าตัว ปี 1994 แต่ที่เป็นประเด็นร้อนแรงที่สุดคือ การย้ายทีมของ หลุยส์ ฟิโก้ จากรองกัปตันทีมบาร์ซ่า ไปเป็น 1 ใน กาแลคติกอส เมื่อปี 2000

ส่วนการย้ายจากฝั่ง เรอัล มาดริด มาสวมเสื้อ บาร์เซโลน่า เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก แต่กลับกลายเป็นรายสำคัญคือ หลุยส์ เอ็นริเก้ เปลี่ยนจากเสื้อ ราชันชุดขาว มาสวมเสื้อ เจ้าบุญทุ่ม ในปี 1996 และอยู่ยาวจนขึ้นมาเป็นกัปตันทีม จนปัจจุบันเป็นเทรนเนอร์และนำ บาร์ซ่า คว้า 3 แชมป์เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา

ในปี 2011 เรอัล มาดริด กับ บาร์เซโลน่า ผ่านเข้าไปพบกันในรอบชิงชนะเลิศ โกปา เดล เรย์ และ รอบรองชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ทำให้ต้องทำศึก เอล กลาซีโก้ กันถึง 4 นัดใน 18 วัน เกมทั้ง 4 แมตช์เต็มไปด้วยความรุนแรง การโต้เถียงระหว่างผู้เล่นและโค้ช มีใบแดงเกิดขึ้นถึง 4 ใบ จนถึงกับทำให้ บิเซนเต้ เดล บอสเก้ เทรนเนอร์ทีมชาติสเปน เอ่ยยอมรับว่ากังวลว่าความบาดหมางระหว่างนักเตะจากทั้งสองทีม จะส่งผลกระทบต่อทีมชาติ

การขับเคี่ยวของทั้งสองทีมยังเพิ่มความร้อนแรงด้วยการช่วงชิงความเป็นหนึ่งในฐานะนักฟุตบอลที่ดีที่สุดของโลก ของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ กับ ลิโอเนล เมสซี่ ที่ต่างก็สร้างผลงานมหัศจรรย์ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา


ช่วงเวลาดี ๆ ใน เอล กลาซีโก้

ขณะที่ศึกระหว่าง เรอัล มาดริด กับ บาร์เซโลน่า ได้ชื่อว่ามีความเป็นศัตรูไม่ต่างจากสงคราม ทว่าในประวัติศาสตร์ของ เอล กลาซีโก้ มีหลายเหตุการณ์ที่ถูกบันทึกไว้ว่าเป็นช่วงเวลาที่น่าจดจำ

ในปี 1980 ลอว์รี่ คันนิ่งแฮม ปีกชาวอังกฤษ กลายเป็นผู้เล่น เรอัล มาดริด คนแรกที่ได้รับเสียงปรบมือจากแฟนบอลของ บาร์เซโลน่า ที่ คัมป์ นู จากการโชว์ฟอร์มการเล่นสุดยอดนำ ราชันชุดขาว บุกมาคว้าชัยชนะได้ 2-0 

ถัดมาในวันที่ 26 มิถุนายน 1983 ในเกม โกปา เดล เรย์ รอบชิงชนะเลิศ นัดที่ 2 ที่ ซานติอาโก้ เบร์นาเบว "เสือเตี้ย" ดีเอโก้ มาราโดน่า สุดยอดดาวเตะชาวอาร์เจนตินา ลงสนามในสีเสื้อ บาร์เซโลน่า และได้รับเสียงปรบมือจากแฟนบอล เรอัล มาดริด

มาราโดน่า ได้บอลหลุดเดี่ยวกระชากผ่านนายทวารของ เรอัล มาดริด ก่อนจะดึงจังหวะหลอกกองหลังอีกหนึ่งชั้นแล้วส่งบอลเข้าไปก้นตาข่ายแบบง่าย ๆ ช็อตนี้ทำให้แฟนบอล "ราชันชุดขาว" ถึงกับต้องยอมรับในความยอดเยี่ยม

ถัดมาในเดือนพฤศจิกายน ปี 2005 เป็น โรนัลดินโญ่ ที่ทำเอาแฟน ๆ เรอัล มาดริด ทั้งสนาม ซานติอาโก้ เบร์นาเบว ถึงกับลุกขึ้นปรบมือ เมื่อโชว์ลีลา กระชากผ่านแนวรับของ ราชันชุดขาว เข้าไปยิงได้ถึง 2 ประตู นำ บาร์ซ่า บุกมาเก็บชัยชนะ 3-0

และนี่คือส่วนหนึ่งของเรื่องราวที่ทำให้เกม เรอัล มาดริด v บาร์เซโลน่า กลายเป็นการแข่งขันสุดคลาสสิกของโลก

เอล กลาซีโก้ บาร์เซโลน่า เรอัล มาดริด

โรนัลโด้ กับ เมสซี่ สตาร์ประจำ เอล กลาซีโก้ ยุคนี้


ภาพ AFP

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
CLASSIC FOOTBALL: มหาศึก เอล กลาซีโก้ อัปเดตล่าสุด 29 มีนาคม 2559 เวลา 13:53:41 13,117 อ่าน
TOP