ก่อนศึก "แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้" นัดแรกของฤดูกาล 2018-19 เป็นทาง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เตรียมเปิดบ้านรับการมาเยือนของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยจะฟาดแข้งกันในวันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน 2561 เวลา 23.30 น. ตามเวลาประเทศไทย
เราจะพาย้อนกลับไปรำลึกแมตช์สุดคลาสสิกระหว่าง เรือใบสีฟ้า กับ ปีศาจแดง ในอดีตมาให้แฟนบอลได้อุ่นเครื่องกัน :
แมนฯ ยูไนเต็ด 5-0 แมนฯ ซิตี้ : พฤศจิกายน 1994
แมนซิตี้ ดันมาเจอ แมนยู ในช่วงเริ่มต้นสร้างความยิ่งใหญ่ในยุคของ อเล็ก เฟอร์กูสัน พอดิบพอดี โดยดาวดังอย่าง เอริค คันโตน่า โชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่นซัดไปหนึ่งประตู
ขณะที่ มาร์ก ฮิวส์ ก็ไม่ยอมน้อยหน้ายิงไปหนึ่งลูกเหมือนกัน แต่ที่เรียกได้ว่าเป็นพระเอกของานนี้ก็คือ อังเดร แคนเชลสกี้ส โดยซูเปอร์สตาร์ ทีมชาติยูเครน มาระเบิดฟอร์มเทพกดแฮตทริกในศึก "แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้" ครั้งนี้
แมนฯ ยูไนเต็ด 4-3 แมนฯ ซิตี้ : กันยายน 2009
.jpg)
หนึ่งใน ดาร์บี้แมตช์ ที่น่าจดจำมากที่สุดสำหรับแฟน แมนยู และเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เกมมาสนุกสุดมันในช่วง 10 นาทีสุดท้าย เมื่อ ดาร์เรน เฟล็ทเชอร์ ยิงประตูขึ้นนำ 3-2 ในนาทีที่ 80 แต่ เคร็ก เบลลามี่ ก็มาตามตีเสมอให้ แมนซิตี้ นาทีที่ 90
แต่แล้ว "ปีศาจแดง" ได้ส่ง ไมเคิ่ล โอเว่น ลงไปแทน ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ นี่เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในตำนาน "เฟอร์กี้ไทม์" เมื่ออดีตดาวยิง ลิเวอร์พูล จัดการซัดประตูชัยให้เจ้าถิ่นใน นาทีที่ 90+6 เล่นเอานักเตะ และแฟนบอล "เรือใบสีฟ้า" ช็อกไปตาม ๆ กัน
แมนฯ ยูไนเต็ด 2-1 แมนฯ ซิตี้ : กุมภาพันธ์ 2011
.jpg)
นานี่ ยิงประตูช่วยให้ แมนยู ขึ้นนำไปก่อน แต่ด้วยความพยายามของ ดาบิด ซิลบา ทำให้เขาเป็นคนซัดประตูตีเสมอให้ แมนซิตี้ แต่ทีเด็ดมาอยู่ที่ประตูชัยของ "ปีศาจแดง" ที่มาจากความสุดยอดของ เวย์น รูนี่ย์
เป็นจังหวะที่ นานี่ โยนเข้าไปในกรอบเขตโทษ ซึ่งดูเหมือนจะย้อนหลัง ดาวยิงทีมชาติอังกฤษ จึงตัดสินใจยิงในท่าจักรยานอากาศงานนี้ โจ ฮาร์ท ทำได้เพียงยืนมองบอลที่พุ่งเข้าประตูไปอย่างสวยงาม นี่ถือเป็นหนึ่งในประตูแห่งความทรงจำของ "แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้" ก็ว่าได้
แมนฯ ยูไนเต็ด 1-6 แมนฯ ซิตี้ : ตุลาคม 2011
.jpg)
แมนยู มีแววไม่ดีตั้งแต่ จอนนี่ อีแวนส์ ถูกใบแดงไล่ออกจากสนาม และ มาริโอ บาโลเตลลี่ ก็มาทำให้ตัวเองเป็นที่จดจำในศึกดาร์บี้ครั้งนี้ด้วยการกดไป 2 ประตู พร้อมกับวลีเด็ดบนเสื้อของเขา "Why always me?"
เจ้าถิ่นทำได้เพียงหนึ่งประตูจาก ดาร์เรน เฟล็ทเชอร์ ขณะที่ประตูของ แมนซิตี้ ก็มาไหลเป็นน้ำจากการยิงของ กุน อเกวโร่ กับ ดาบิด ซิลบา คนละ 1 ตุง และ เอดิน เชโก้ อีก 2 ตุง
นี่คือความพ่ายแพ้ที่ยับเยินที่สุดของ "ปีศาจแดง" นับตั้งแต่ปี 1955 ในขณะที่เห็นได้ชัดว่า แมนซิตี้ กำลังเริ่มต้นสร้างความยิ่งใหญ่ และในที่สุดพวกเขาก็คว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ได้สำเร็จในเดือนพฤษภาคม
แมนฯ ซิตี้ 2-3 แมนฯ ยูไนเต็ด : ธันวาคม 2012
.jpg)
เวย์น รูนี่ย์ ทำคนเดียว 2 ประตูให้ แมนยู นำห่างตั้งแต่ครึ่งแรก แต่ทว่าในครึ่งหลัง แมนซิตี้ มีลูกฮึดไล่ตามตีเสมอได้สำเร็จจาก ยาย่า ตูเร่ และ ปาโปล ซาบาเลต้า
แต่สุดท้ายชัยชนะตกเป็นของ "ปีศาจแดง" จากการสังหารฟรีคิกของ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ในนาทีที่ 90+2 งานนี้เกือบมีเรื่องวุ่นเมื่อ ริโอ เฟอร์ดินานด์ ถูกปาวัตถุบางอย่างไปโดนหัว แถมแฟนบอลเจ้าถิ่นก็วิ่งลงมาในสนามหวังเอาเรื่องปราการหลังทีมเยือนรายนี้ ร้อนถึง โจ ฮาร์ท ที่ต้องยับยั้งสาวก "เรือใบสีฟ้า" ยกใหญ่
แมนฯ ยูไนเต็ด 1-2 แมนฯ ซิตี้ : ธันวาคม 2017
.jpg)
ดาบิด ซิลบา ยิงให้ แมนซิตี้ ขึ้นนำไปก่อน แต่ มาร์คัส แรชฟอร์ด ก็จัดการซัดประตูตีเสมอให้กับ แมนยู ในช่วงก่อนหมดครึ่งแรก แต่สุดท้ายเป็นทาง นิโคลัส โอตาเมนดี้ ที่เป็นคนทำประตูชัยให้กับทีมเยือนในครึ่งหลัง
เกมนี้ "เรือใบสีฟ้า" ของกุนซือ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ครองบอลไปได้ถึง 65 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่พวกเขาเดินหน้าคว้าชัยชนะติดต่อกันเป็นนัดที่ 14 ใน พรีเมียร์ลีก แถมทำคะแนนทิ้งทีมของ โชเซ่ มูรินโญ่ ห่างออกไปเป็น 11 แต้ม
แมนฯ ซิตี้ 2-3 แมนฯ ยูไนเต็ด : เมษายน 2018
.jpg)
แมนซิตี้ เตรียมฉลองแชมป์ได้เลยหากพวกเขาชนะทีมร่วมเมืองได้สำเร็จในเกมนี้ แต่ทว่าพวกเขาดันพลาดท่าพ่ายต่อ แมนยู อย่างเหลือเชื่อ โดยแมตช์นี้ "ปีศาจแดง" ที่เป็นรองทุกอย่างในครึ่งแรกแถมถูกนำไปก่อน 2 ลูก กลับมายิง 3 ประตูรวดในครึ่งหลัง
"เรือใบสีฟ้า" ได้ประตูนำสองลูกจาก แว็งซ็องต์ ก็องปานี นาที 25 และ อิลคาย กุนโดกัน นาที 30 อย่างไรก็ตาม ครึ่งหลังทุกอย่างกลายเป็นหนังคนละม้วน แมนยู มาได้ 2 ประตูติดกันจาก ปอล ป็อกบา นาที 53 และ 55 ทำเอาแฟน แมนซิตี้ อึ้งกันทั้งสนาม
แต่เรื่องช็อกของจริงคือประตูที่ 3 ของ แมนยู ตามมาในนาที 69 จาก คริส สมอลลิ่ง และดูเหมือนนั่นจะเป็นสถานการณ์ที่เกินกว่า แมนซิตี้ จะกลับมาได้
ข้อมูลจาก sportinglife.com
ภาพจาก AFP
