วันที่ | รายการ | ทีม | VS | ทีม |
---|---|---|---|---|
9 พ.ย. 67 | ลา ลีกา สเปน | เรอัล มาดริด | 4 - 0 | โอซาซูน่า |
6 พ.ย. 67 | ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก | เรอัล มาดริด | 1 - 3 | มิลาน |
3 พ.ย. 67 | ลา ลีกา สเปน | บาเลนเซีย | 0 - 0 | เรอัล มาดริด |
27 ต.ค. 67 | ลา ลีกา สเปน | เรอัล มาดริด | 0 - 4 | บาร์เซโลน่า |
23 ต.ค. 67 | ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก | เรอัล มาดริด | 5 - 2 | ดอร์ทมุนด์ |
วันที่ | รายการ | ทีม | VS | ทีม |
---|---|---|---|---|
10 พ.ย. 67 | ลา ลีกา สเปน | มายอร์ก้า | 0 - 1 | แอต.มาดริด |
7 พ.ย. 67 | ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก | เปแอสเช | 1 - 2 | แอต.มาดริด |
3 พ.ย. 67 | ลา ลีกา สเปน | แอต.มาดริด | 2 - 0 | ลาส พัลมาส |
1 พ.ย. 67 | โกปา เดล เรย์ | UE VIC | 0 - 2 | แอต.มาดริด |
28 ต.ค. 67 | ลา ลีกา สเปน | เบติส | 1 - 0 | แอต.มาดริด |
เรอัล มาดริด คว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 11 ไปครองหลังเอาชนะ แอตเลติโก มาดริด ใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบชิงชนะเลิศ ด้วยดวลจุดโทษ 5-3 หลังจากเกมเสมอกันใน 90 นาที 1-1 และต่อเวลาครบ 120 นาทีทำอะไรกันเพิ่มไม่ได้
ราชันชุดขาวได้ประตูนำก่อนในครึ่งแรกจาก เซร์คิโอ รามอส และถึงครึ่งหลังในขณะที่เกมกำลังจะเข้าสู่ 10 นาทีสุดท้าย ยานนิค คาร์ราสโซ่ ก็มาซัดประตูให้ แอต.มาดริด ตีเสมอได้ 1-1 จนเกมต้องยืดเยื้อสู้กันในช่วงต่อเวลาพิเศษ จนถึงการดวลจุดโทษ
เหตุการณ์สำคัญที่สุดในการดวลจุดโทษก็คือผู้สังหารคนที่ 4 ของ แอต.มาดริด ฆวนฟราน ดันยิงพลาดไปชนเสา และเป็น คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่รับหน้าที่ยิงให้ เรอัล มาดริด คนสุดท้ายซึ่ง เจ็ทโด้ ก็ทำได้ไม่พลาด "ราชันชุดขาว" คว้าแชมป์ไปครองเป็นสมัยที่ 2 ในรอบ 3 ปี
ยักษ์ใหญ่จากสเปนคว้าแชมป์ไปครองนับเป็นสมัยที่ 5 นับตั้งแต่การแข่งขันเปลี่ยนจาก ยูโรเปี้ยน คัพ มาเป็น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาล 1992-93 ขณะที่ ซีเนอดีน ซีดาน ซึ่งเข้ามาคุมทีมแทน ราฟาเอล เบนิเตซ เมื่อเดือนมกราคม ก็กลายเป็นคนที่ 7 ที่ได้แชมป์ทั้งในฐานะผู้เล่นและโค้ช
สิ่งที่น่าหนักใจที่สุดสำหรับ เรอัล มาดริด คงจะเป็นเรื่องที่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ มีปัญหาเจ็บเดินกะเผลกออกจากสนามตอนซ้อมเมื่อกลางสัปดาห์ แต่ล่าสุดเจ้าตัวก็ยืนยันว่าเล่นไหวแน่ มีแค่ กีโก้ กาซิยาส นายทวารตัวสำรองที่อาจจะหมดสิทธิ์เล่นตาม ราฟาเอล วาราน ไป แต่นอกจากนั้น ทุกคนฟิตพร้อมเป็นตัวเลือกให้ ซีเนอดีน ซีดาน
11 ตัวแรกที่น่าจะได้ลงสนามมีนายประตู เคย์ลอร์ นาวาส, เซนเตอร์ฮาล์ฟคู่ เปเป้ กับ เซร์คิโอ รามอส, แบ็กซ้าย มาร์เชโล่, แบ็คขวา ดาเนียล การ์บาฆาล, แผงกองกลาง ลูก้า โมดริช, กาเซมีโร่, โทนี่ โครส สามประสานในแดนหน้า แกเร็ธ เบล, คาริม เบนเซม่า และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้
ด้าน แอต.มาดริด ได้ ติอาโก้ มิดฟิลด์ตัวเก๋าหายเจ็บกลับมาเล่นในเกมปิดฤดูกาลหลังจากเจ็บยาวไป 6 เดือน แต่คงไม่ได้มีส่วนร่วมกับทีมในเกมนัดชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก
ทีมชุดแรก ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ คงเลือกใช้ชุดเดียวกับ ลา ลีกา นัดปิดฤดูกาล ผู้รักษาประตู ยาน โอบลัค, ปราการหลังคู่ โฮเซ่ คีเมเนซ กับ ดีเอโก้ โกดิน, แบ็กสองข้าง ฟิลีเป้ ลุยส์ กาสมีร์สกี้ กับ ฆวนฟราน ตอร์เรส, แดนกลาง โกเก้, กาบี เฟร์นานเดซ, เอากุสโต้ เฟร์นานเดซ, ซาอูล ญีเกซ คู่หน้า เฟร์นานโด ตอร์เรส กับ อ็องตวน กรีซมันน์
แอต.มาดริด คราวนี้มาพร้อมกับความตั้งใจที่จะแก้มือหลังจากเคยแพ้ในนัดชิงเมื่อปี 2014 ขณะที่ดูเส้นทางที่ผ่านมา การผ่านทั้ง เบนฟิก้า, บาเยิร์น มิวนิค จนถึง บาร์เซโลน่า มาได้ เหลือแค่ เรอัล มาดริด อีกทีมเดียวที่ขวางอยู่ในเส้นทางที่จะเดินไปถึงการคว้าแชมป์ยุโรปครั้งแรก
ขณะที่ เรอัล มาดริด นั้นเส้นทางที่ผ่านมาค่อนข้างจะสบายกว่า ผ่าน โรม่า, โวล์ฟสบวร์ก และ แมนฯ ซิตี้ แต่ก็เอาตัวรอดมาแบบหวาดเสียวทุกรอบ ขณะที่สถิติ 6 ครั้งหลังสุดที่เจอกัน แอต.มาดริด ชนะ 2 เสมอกัน 3 และ เรอัล มาดริด ชนะนัดเดียว ฤดูกาลนี้ในลีก 2 เกมเสมอกัน 1 นัดที่ บิเซนเต้ กัลเดร่อน ส่วนเกมที่ เบร์นาเบว แอต.มาดริด บุกเอาชนะได้ เรียกว่า ฟอร์มในช่วงหลัง แอต.มาดริดถือว่าไม่มีอะไรต้องกลัว และดูเหนือกว่าด้วยซ้ำ