เป็นวันที่แฟนลูกหนังชาวไทยทั้งประเทศชื่นมื่นกันถ้วนหน้า หลังจากไม่ได้สะใจกันเต็มที่แบบนี้มานาน เมื่อ ทีมฟุตบอลทีมชาติไทยงัดฟอร์มเอาชนะ บาห์เรน ได้ 1-0 ในศึก เอเชียนคัพ 2019 รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่มเอ นัดที่ 2 เมื่อค่ำวันพฤหัสบดีที่ 10 มกราคม 2562
เกมนัดนี้ถือเป็นเกมสุดสำคัญอีกครั้งสำหรับทีมไทย หลังจากพ่ายพลิกล็อกต่ออินเดียมา 1-4 ในนัดแรกและทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมีการปลดโค้ช มิโลวาน ราเยวัช นั่นยิ่งทำให้เกมนี้แฟนบอลชาวไทยต่างรอที่จะได้เห็นว่า โค้ชโต่ย ศิริศักดิ์ ยอดญาติไทย จะทำให้ทีมเปลี่ยนไปได้อย่างไรบ้าง
แน่นอนว่าความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนลงสนาม โค้ชโต่ยจัดทีมให้ยืนด้วยแผน 3-5-2 และมีการเปลี่ยนผู้เล่นชุดแรกถึง 4 คน รวมถึงตำแหน่งนายประตูที่ให้ ศิวรักษ์ เทศสูง เนินยืนเฝ้าเสา
ส่วนเกมการเล่นในสนาม ในช่วงแรกบาห์เรนเป็นฝ่ายพยายามบุกเข้าใส่ก่อน แต่ยิ่งเวลาผ่านไปไทยก็ยิ่งแสดงให้บาห์เรนเห็นว่าไม่ใช่คู่แข่งที่จะมาเอาชนะได้ง่าย ๆ
ในส่วนของทีมชาติไทยที่ต้องพูดถึงในนัดนี้ก็คือการเล่นเกมรับ นายทวารศิวรักษ์ ที่ได้โอกาสเล่นเกมนี้ทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยมไม่พลาดเลย ขณะที่ 3 ปราการหลังที่ทำท่าว่าจะลำบากเพราะเก็บใบเหลืองมาคนละใบตั้งแต่ครึ่งแรก ก็รักษาสถานการณ์ได้จนตลอดรอดฝั่ง และนั่นทำให้ภาพรวมการเล่นเกมรับของทีมไทยเหนียวแน่นขึ้นทั้งที่ไม่ได้เล่นเน้นเกมรับเต็มตัวเหมือนก่อนหน้านี้
ส่วนในแดนหน้า แม้วันนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่วันของกัปตันมุ้ย ธีรศิลป์ แดงดา ที่พลาดโอกาสไปหลายครั้งในครึ่งแรก แต่ทีเด็ดของ เมสซี่เจ ชนาธิป สรงกระสินธ์ ก็เพียงพอที่จะนำประตูชัยมาให้ทีมชาติไทยได้
ชัยชนะครั้งนี้นับเป็นประวัติศาสตร์ของทีมชาติไทย ที่สามารถเก็บชัยชนะในศึก เอเชียนคัพ รอบสุดท้ายได้เป็นครั้งที่ 2 หลังจากก่อนหน้านี้เคยชนะเกมเดียวเมื่อครั้งที่เป็นเจ้าภาพร่วมเมื่อปี 2007 โดยเอาชนะ โอมาน 2-0 ที่ราชมังคลากีฬาสถาน
แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ นี่คือ 3 คะแนนที่พลิกสถานการณ์จากการแพ้แบบไม่มีทรงในเกมแรก กลับมามีความหวังและโอกาสดีที่จะได้ลุ้นเข้ารอบต่อไป แม้นัดสุดท้ายจะยิ่งเจอกับศึกหนัก พบเจ้าภาพ ยูเออี ในวันจันทร์ที่ 14 มกราคม
อย่างไรก็ตาม การมี 3 คะแนนจากรอบแบ่งกลุ่ม ในทัวร์นาเมนต์ที่คัดเอา 16 ทีมจาก 24 ทีมเข้ารอบ นับว่าเป็นโอกาสที่ดีทีเดียว โดยหลังจากนี้จะต้องรอดูผลการแข่งขันของกลุ่มอื่น ๆ ก่อนจะรู้ว่าสถานการณ์ในนัดสุดท้ายจะเป็นอย่างไร
ทั้งหมดคือสิ่งที่เกิดขึ้นหลังผ่านการลงสนามไป 2 นัด บอลเปลี่ยนโค้ชผลการแข่งขันเปลี่ยนไป สถานการณ์ก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง และจากนี้ไปใครจะรู้ว่าทีมชาติไทยอาจจะติดเครื่องขึ้นมาแล้วไปได้ไกลกว่ารอบ 16 ทีมสุดท้ายตามที่ตั้งเป้าไว้ตอนแรกก็เป็นได้
ภาพ AFP
