เกมฟุตบอลระดับสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก นัดชิงชนะเลิศ ปีนี้เป็นการพบกันระหว่างสองทีมที่มีประวัติศาสตร์ยิ่งใหญ่ เรอัล มาดริด พบกับ ลิเวอร์พูล
ทั้งสองทีมจัดตัวผู้เล่นชุดที่น่าจะดีที่สุด แชมป์เก่า เรอัล มาดริด เลือกใช้ อิสโก้ ลงประสานงานกับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ คาริม เบนเซม่า ในแดนหน้า ส่วน ลิเวอร์พูล มี 3 ประสาน โมฮาเหม็ด ซาล่าห์ ซาดิโอ มาเน่ และ โรแบร์โต้ เฟอร์มิโน่ เดินเกมรุก
เกมในช่วงเริ่มต้น ลิเวอร์พูล เป็นฝ่ายไล่กดดันและครองบอลบุกเข้าทำได้เหนือกว่าค่อนข้างชัดเจน ขณะที่ เรอัล มาดริด เหมือนจะยังตั้งเกมไม่ได้
ทว่าถึงนาทีที่ 30 ลิเวอร์พูล ก็ต้องเสีย โมฮาเหม็ด ซาล่าห์ ที่เจ็บหัวไหล่จากการปะทะกับ เซร์คิโอ รามอส ล้มลงเล่นต่อไม่ไหวต้องเปลี่ยนตัวออกให้ อดัม ลัลลาน่า ลงเล่นแทน
แต่จากนั้นไม่กี่นาที เรอัล มาดริด ก็ต้องเปลี่ยนตัว ดานี่ การ์บาฆาล แบ็กตัวเก่งออกเช่นกันจากการได้รับบาดเจ็บที่ข้อเท้า
อย่างไรก็ตาม การเสีย ซาล่าห์ ไปเหมือนจะส่งผลต่อเกมของ ลิเวอร์พูล ชัดเจน และทำให้ เรอัล มาดริด เริ่มมีโอกาสทำเกมใส่ ลิเวอร์พูล มากขึ้นด้วย รวมถึงเกือบจะได้ประตูจากลูกยิงของ เบนเซม่า ที่ส่งบอลเข้าประตูไปแล้ว แต่ผู้ตัดสินเป่าเป็นลูกล้ำหน้า
จบครึ่งแรกยังไม่มีสกอร์ เสมอกันอยู่ 0-0
ครึ่งหลังแฟนบอลทั่วโลกก็ได้เห็นการยิงประตูเกิดขึ้นจนได้ นาที 51 เรอัล มาดริด ขึ้นนำ ลิเวอร์พูล 1-0 จากจังหวะที่ ลอริส คาริอุส ปล่อยบอลไปติดเท้าของ คาริม เบนเซม่า กระดอนเข้าประตูไป
แต่หลังจากนั้นไม่นาน นาที 55 ลิเวอร์พูล ไล่ตามตีเสมอ เรอัล มาดริด เป็น 1-1 จากลูกยิงจ่อ ๆ โดย ซาดิโอ มาเน่
จุดเปลี่ยนที่แท้จริงในเกมนี้เกิดขึ้นเมื่อ ซีเนอดีน ซีดาน เปลี่ยนตัว แกเร็ธ เบล ลงมาเล่นแทน อิสโก้ ในนาที 61 เพราะแค่หลังจากนั้น 3 นาที เบล ก็โชว์ยิงจักรยานอากาศสุดสวยให้ เรอัล มาดริด ขึ้นนำ ลิเวอร์พูล 2-1
หลังจากนั้น เรอัล มาดริด เริ่มโชว์ให้เห็นความเก๋าเกม เล่นครองบอลและคุมจังหวะไม่ให้ ลิเวอร์พูล มีโอกาสทำอะไรได้ถนัดอีก
จนกระทั่งนาที 83 เรอัล มาดริด ก็มาได้ประตูปิดเกมจากลูกยิงไกลของ แกเร็ธ เบล ไปตรงตัว คาริอุส แต่นายประตู ลิเวอร์พูล รับไม่ดี ซองแตกปล่อยบอลเข้าประตูไปเป็น 3-1
จบเกม เรอัล มาดริด เอาชนะ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ 3 สมัยติดต่อกัน และนับเป็นสมัยที่ 13 ในประวัติศาสตร์สโมสร