ย้อนดูทำเนียบแชมป์บอลโลก ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก FIFA World Cup

 

 


            สำหรับการแข่งขันฟุตบอลโลกจัดขึ้นเป็นครั้งแรกที่ประเทศอุรุกวัย ในปี ค.ศ.1930 โดยมีทีมเข้าร่วมแข่งขันรุ่นบุกเบิก 13 ทีมด้วยกัน จากนั้นก็จัดเรื่อยมาทุก 4 ปี (ยกเว้นระหว่างครั้งที่ 3 และ 4 ที่ห่างกันถึง 12 ปี เนื่องจากสงครามโลกครั้งที่ 2) จนในปี 2014 นี้ เวียนมาบรรจบเป็นครั้งที่ 20 แล้ว โดยมีทีมเข้าแข่งขัน 32 ทีมและกำลังขับเคี่ยวกันอย่างดุเดือด แต่ก่อนจะทราบผลในไม่ช้านี้ ลองไปย้อนดูทำเนียบแชมป์ฟุตบอลโลก ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันกันหน่อยดีกว่า


แชมป์ฟุตบอลโลกครั้งที่ 1 ค.ศ. 1930 : อุรุกวัย
 


            ในครั้งแรกที่จัดการแข่งขัน อุรุกวัยซึ่งเป็นเจ้าภาพก็สามารถประเดิมตำแหน่งแชมป์ไปได้ จากการแข่งขัน 13 ทีมแบ่งเป็น 4 กลุ่ม แล้วนำอันดับ 1 ของแต่ละกลุ่มเข้ารอบรองชนะเลิศ ก่อนที่คู่ชิงชนะเลิศจะเหลือเพียง อุรุกวัย-บราซิล ซึ่งเจ้าภาพสามารถเอาชนะไปได้ด้วยประตู 4-2


แชมป์ฟุตบอลโลกครั้งที่ 2 ค.ศ. 1934 : อิตาลี

 


            บอลโลกครั้งที่ 2 มีอิตาลีเป็นเจ้าภาพ และก็ยังเป็นประเทศเจ้าภาพอีกนั่่นเองที่คว้าแชมป์ไปครอง โดยมีการปรับเปลี่ยนวิธีเล่นเป็นแบบแพ้คัดออก ก่อนจะเหลือเพียงอิตาลีและเชโกสโลวาเกีย ในที่สุดฝ่ายเจ้าภาพเอาชนะไปด้วยสกอร์ 2-1


แชมป์ฟุตบอลโลกครั้งที่ 3 ค.ศ. 1938 : อิตาลี

            อิตาลีครองแชมป์บอลโลกเป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน ด้วยการหวดเอาชนะฮังการีไป 4-2 จากการเตะแบบแพ้คัดออกเช่นเดิม


แชมป์ฟุตบอลโลกครั้งที่ 4 ค.ศ. 1950 : อุรุกวัย

            ถัดจากการการแข่งขันครั้งที่ 3 มาอีก 12 ปี รวมเวลาเว้นห่างเพราะสงครามโลกครั้งที่ 2 ไปด้วย แชมป์รุ่นบุกเบิกอย่างอุรุกวัยก็สามารถทวงตำแหน่งแชมป์คืนได้อีก จากการเอาชนะบราซิลไปด้วยประตู 2-1 ชัยชนะคราวนี้ทำเอาชาวบราซิลเศร้า เพราะตามตารางคะแนนแล้วขอ เพียงทีมชาติบราซิลเตะให้แมตช์นี้ออกมาเสมอกันก็จะครองตำแหน่งแชมป์ทันที แต่สุดท้ายก็พ่ายให้กับอุรุกวัยไปอย่างน่าเสียดาย


แชมป์ฟุตบอลโลกครั้งที่ 5 ค.ศ. 1954 : เยอรมนีตะวันตก

            ไฮไลท์เด็ดที่สุดในฟุตบอลโลกครั้งที่ 5 หนีไม่พ้นการคว้าแชมป์โลกได้เป็นสมัยแรกของเยอรมนีตะวันตก โดยที่สามารถโค่นฮังการี ซึ่งมีดีกรีเหรียญทองโอลิมปิก 1952 ไปได้ 3-2 ประตู ทั้ง ๆ ที่ฮังการียิงนำไปก่อนถึง 2 ลูก นอกจากนี้ ผลงานที่ทั้งคู่เจอกันในรอบแรก ฮังการียังเป็นฝ่ายชนะแบบถล่มทลาย 8-3 ด้วยเหตุนี้นัดชิงชนะเลิศนัดนี้จึงถูกเรียกว่า "The Miracle of Bern" (เบิร์น คือเมืองที่จัดการแข่งขันนัดนี้)


แชมป์ฟุตบอลโลกครั้งที่ 6 ค.ศ. 1958 : บราซิล

            ฟุตบอลโลกครั้งที่ 6 นี้ แข่งขันกันบนดินแดนไวกิ้งและเป็นทัวร์นาเมนท์แจ้งเกิดตำนานแห่งวงการลูกหนัง อย่าง "เปเล่" ด้วย โดยบราซิลสามารถลบล้างความผิดหวังจาก ค.ศ. 1950 ได้สำเร็จ ด้วยการเอาชนะเจ้าภาพสวีเดน 5-2 อีกทั้งเกมนี้เปเล่ยังโชว์ฝีแข้งซัด 2 ลูกเข้าไปตุงตาข่ายด้วย ส่วนแชมป์เก่าอย่างเยอรมนีตะวันตก คว้าได้เพียงอันดับ 4 โดยแพ้ฝรั่งเศสในรอบชิงที่สาม 3-6


แชมป์ฟุตบอลโลกครั้งที่ 7 ค.ศ. 1962 : บราซิล

            บราซิลยังคงป้องกันตำแหน่งแชมป์ไว้ได้อีกสมัย จากการเอาชนะเชโกสโลวาเกียไปได้ 3-1 ส่วนหนุ่มแข้งทอง เปเล่ นั้น ในทัวร์นาเมนต์นี้ทำได้เพียง 1 ประตู ทั้งนี้ นับว่าบราซิลเป็นชาติที่สองที่สามารถป้องกันแชมป์ฟุตบอลโลกได้สำเร็จ ต่อจากอิตาลีที่สามารถป้องกันแชมป์ได้ในปี 1934 และ 1938


แชมป์ฟุตบอลโลกครั้งที่ 8 ค.ศ. 1966 : อังกฤษ

            ฟุตบอลโลกหนนี้ จัดขึ้นในประเทศที่เป็นต้นตำรับฟุตบอลอย่างอังกฤษ และก็เป็นอังกฤษผู้เป็นเจ้าภาพนั่นเองที่คว้าแชมป์ไปได้ โดยการแข่งขันครั้งที่ 8 นี้มีเหตุการณ์โดดเด่น นั่นคือ เกาหลีเหนือสามารถชนะอิตาลี 1-0 ในรอบแรก พร้อมกับทะลุเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายได้เป็นครั้งแรก ก่อนพ่ายโปรตุเกสไป 3-5

 


            ส่วนนัดชิงชนะเลิศครั้งนี้ก็เป็นที่กล่าวขานไปอีกนาน กับลูกยิงในช่วงต่อเวลาพิเศษของ เซอร์ เจฟฟ์ เฮิร์ต ที่ยิงชนคานก่อนเด้งลงบนเส้นประตูอย่างรวดเร็ว ซึ่งผู้ตัดสินก็เป่านกหวีดให้เป็นประตู ทำให้อังกฤษขึ้นนำเยอรมนีตะวันตก 3-2 ท่ามกลางการถกเถียงกันอย่างยาวนานว่า ลูกนี้เข้าหรือไม่เข้า อย่างไรก็ตาม สุดท้ายเฮิร์ตก็ยิงเพิ่มอีก 1 ประตู เอาชนะเยอรมนีตะวันตกไป 4-2 กลายเป็นแฮตทริคที่ส่งอังกฤษทะยานเป็นแชมป์โลกครั้งแรก และครั้งเดียวจนถึงทุกวันนี้


แชมป์ฟุตบอลโลกครั้งที่ 9 ค.ศ. 1970 : บราซิล

 


            ฟุตบอลโลกครั้งนี้จัดขึ้นที่เม็กซิโก และเป็นครั้งแรกที่ฟีฟ่ายื่นเงื่อนไขว่า หากชาติใดคว้าแชมป์โลกได้เป็นสมัยที่ 3 ก่อน ก็จะได้กรรมสิทธิ์ถ้วยจูลส์ ริเม่ต์ ไปครอง และกลายเป็นบราซิลที่สามารถคว้าแชมป์โลกได้เป็นสมัยที่ 3 โดยโค่นอิตาลี แชมป์โลก 2 สมัยไป 4-1 ในนัดชิงชนะเลิศ ส่วนแชมป์เก่าอังกฤษ ถูกเยอรมนีตะวันตกถอนแค้นในรอบ 8 ทีมสุดท้าย 3-2


แชมป์ฟุตบอลโลกครั้งที่ 10 ค.ศ. 1974 : เยอรมนีตะวันตก

 


            นับเป็นฟุตบอลโลกครั้งแรกที่ใช้ถ้วยการแข่งขันถ้วยใหม่ นั่นคือ ถ้วยฟีฟ่า เวิลด์ คัพ อีกทั้งยังเป็นการแข่งขันที่มีศึกสายเลือด คือ เยอรมนีตะวันตกและเยอรมนีตะวันออกอยู่ร่วมกลุ่มกันในรอบแรก ซึ่งการพบกันของทั้งสองทีมนั้น ก็เป็นฝั่งตะวันออกที่เอาชนะตะวันตกไปได้ 1-0 แต่ถึงอย่างไรก็ควงคู่กันเข้ารอบ ส่วนรอบ 2 มีทั้งหมด 8 ทีม แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คัดเอาที่ 1 ของกลุ่มเข้าชิงชนะเลิศ ส่วนที่ 2 ของกลุ่มไปชิงที่ 3 ผลปรากฏว่า รอบชิงชนะเลิศเป็นการพบกันระหว่างเยอรมนีตะวันตกกับเนเธอร์แลนด์ แล้วก็เป็นเยอรมนีตะวันตกที่คว้าแชมป์โลกได้เป็นสมัยที่ 2 บนแผ่นดินของตัวเอง


แชมป์ฟุตบอลโลกครั้งที่ 11 ค.ศ. 1978 : อาร์เจนตินา

            อาร์เจนตินา กลายเป็นแชมป์หน้าใหม่ในการแข่งฟุตบอลโลกครั้งที่ 11 โดยสามารถเอาชนะเนเธอร์แลนด์ 3-1 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ ทำให้เนเธอร์แลนด์ต้องอกหักเป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกัน นอกจากนี้ฟุตบอลโลกครั้งนี้ยังเป็นฟุตบอลโลกครั้งสุดท้ายที่จะแข่งขันกัน 16 ทีม


แชมป์ฟุตบอลโลกครั้งที่ 12 ค.ศ. 1982 : อิตาลี

 


            อิตาลีครองแชมป์บอลโลกเป็นสมัยที่ 3 จากการเอาชนะเยอรมนีตะวันตก 3-1 และเป็นการเอาชนะอีกครั้งหลังจากเหินห่างการเป็นผู้คว้าชัยไปถึง 44 ปี นอกจากนี้ ยังเป็นครั้งแรกที่การแข่งขันฟุตบอลโลกเพิ่มขึ้นเป็น 24 ทีม โดยรอบแรกแบ่งออกเป็น 6 กลุ่ม คัด 2 ทีมที่ดีที่สุดแต่ละกลุ่มเข้ารอบสอง รอบสองมี 12 ทีม แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มละ 3 ทีม คัดอันดับ 1 ของกลุ่ม จำนวน 4 ทีม เข้ารอบรองชนะเลิศ และชิงชนะเลิศต่อไป ซึ่งก็เป็นอิตาลีที่คว้าชัยไปครอง


แชมป์ฟุตบอลโลกครั้งที่ 13 ค.ศ. 1986 : อาร์เจนตินา

 


            ฟุตบอลโลกครั้งนี้ กลับมาจัดที่เม็กซิโกอีกครั้ง เนื่องจากโคลอมเบียเจ้าภาพ ได้ถอนตัวออกไป ซึ่งการแข่งขันครั้งนี้ก็ได้ถือกำเนิดเหตุการณ์ หัตถ์พระเจ้า พร้อมกับการแจ้งเกิดของดีเอโก้ มาราโดน่า ตำนานนักเตะอาร์เจนตินาอีกด้วย โดยเหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นในรอบ 8 ทีมสุดท้าย เมื่ออาร์เจนตินา พบ อังกฤษ ซึ่งมาราโดน่า ได้ใช้มือปัดบอลเข้าประตู ท่ามกลางคนดูที่เห็นกันทั่วสนาม ยกเว้นผู้ตัดสิน ทำให้อาร์เจนตินา ขึ้นนำ 1-0 ก่อนที่มาราโดน่า จะลากลุยคนเดียวครึ่งสนาม เข้าไปยิงให้อาร์เจนตินา นำ 2-0 ก่อนเกมจบลงด้วยชัยชนะ 2-1 ส่วนนัดชิงชนะเลิศ ก็เป็นอาร์เจนตินา เอาชนะ เยอรมนีตะวันตกไปได้ 3-2 คว้าแชมป์โลกสมัยที่ 2 ในรอบ 8 ปี


แชมป์ฟุตบอลโลกครั้งที่ 14 ค.ศ. 1990 : เยอรมนีตะวันตก

            สิ่งที่น่าสนใจสำหรับศึกอิตาเลีย 90 นั่นคือ แชมป์เก่า อาร์เจนตินา เปิดสนามพ่ายแคเมอรูนแบบช็อกโลก 0-1 แต่ถือว่าโชคดีที่ในรอบแรกยังสามารถคว้าตำแหน่งอันดับ 3 ที่ดีที่สุดไปได้ ก่อนที่จะทะลุเข้าชิงชนะเลิศไปได้อย่างหืดจับ

            ส่วนไฮไลท์สำคัญของทัวร์นาเมนต์อีกเกมหนึ่งคือ การที่เยอรมนีตะวันตกเอาชนะการดวลจุดโทษอังกฤษในรอบรองชนะเลิศ เข้าไปชิงชนะเลิศกับอาร์เจนตินา เป็นการรีแมตช์นัดชิงฯ ปี 1986 ก่อนที่อันเดรีย เบรเม่ห์ จะยิงจุดโทษนาทีที่ 85 ให้เยอรมนีตะวันตก ล้างแค้นอาร์เจนตินา คว้าแชมป์โลกสมัยที่ 3


แชมป์ฟุตบอลโลกครั้งที่ 15 ค.ศ. 1994 : บราซิล

 


            ฟุตบอลโลกครั้งนี้จัดขึ้นบนแผ่นดินอเมริกา ที่เรียกฟุตบอลว่า ซอคเกอร์ (soccer) และเป็นครั้งที่เกิดเหตุการณ์น่าสนใจมากมาย นับตั้งแต่ทีมชั้นนำอย่างอังกฤษและฝรั่งเศส ไม่สามารถผ่านรอบคัดเลือกได้, การลอบสังหารอันเดรส เอสโคบาร์ กองหลังโคลอมเบีย หลังสกัดบอลเข้าประตูตัวเอง ทำให้โคลอมเบียตกรอบแรก, ท่ากล่อมลูกหลังยิงประตูได้ของเบเบโต้ กองหน้าบราซิล จนโด่งดังไปทั่วโลก, ดีเอโก้ มาราโดน่า ตำนานนักเตะของอาร์เจนติน่า ถูกตรวจพบสารกระตุ้น จึงโดนไล่กลับประเทศ หรือเหตุการณ์ที่พระเอกตายตอนจบ เมื่อโรแบร์โต บัจโจ้ กองหน้าอิตาลี ยิงหลายประตูตั้งแต่รอบ 16 ทีมสุดท้าย ช่วยอิตาลีให้ทะลุถึงนัดชิงชนะเลิศได้ แต่สุดท้ายตัวเองก็กลายเป็นคนที่ยิงจุดโทษพลาด ทำให้บราซิลคว้าแชมป์โลกสมัย 4


แชมป์ฟุตบอลโลกครั้งที่ 16 ค.ศ. 1998 : ฝรั่งเศส

            บอลโลกครั้งนี้จัดขึ้นที่ฝรั่งเศส และก็เป็นฝ่ายเจ้าภาพที่สามารถช่วงชิงถ้วยรางวัลจากแชมป์เก่าอย่างบราซิลมาได้สำเร็จ ด้วยการถล่มทีมแซมบ้าถึง 3-0 นอกจากนี้ ฟุตบอลโลกครั้งนี้ยังเป็นครั้งแรกที่มีทีมเข้าร่วม 32 ทีม เนื่องจากมีจำนวนชาติที่มากขึ้น จากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต และการแตกประเทศของยูโกสลาเวีย

 


            นอกจากนี้ ยังเป็นการแจ้งเกิดของโครเอเชีย ประเทศน้องใหม่อย่างแท้จริง เพราะสามารถคว้าอันดับ 3 มาครองได้ ด้วยการเอาชนะยักษ์ใหญ่อย่างเยอรมนี 3-0 ในรอบ 8 ทีม และคว่ำเนเธอร์แลนด์ 2-1 ในรอบชิงที่ 3 ขณะที่เหตุการณ์อื่น ๆ ที่โด่งดังก็มี เดวิด เบ็คแฮม ถูกใบแดงไล่ออกในเกมที่พ่ายดวลจุดโทษอาร์เจนตินา รอบ 16 ทีมสุดท้าย จนกลายเป็นแพะรับบาปของชาวอังกฤษอยู่นาน รวมถึงการแจ้งเกิดของไมเคิล โอเว่น อย่างเป็นทางการอีกด้วย


แชมป์ฟุตบอลโลกครั้งที่ 17 ค.ศ. 2002 : บราซิล

 


            การแข่งขันครั้งนี้เกิดเรื่องช็อกโลกหลายอย่าง อาทิ เต็ง 1 และ 2 อย่างฝรั่งเศส แชมป์เก่าและอาร์เจนติน่า ต่างตกรอบแรกด้วยกันทั้งคู่, เดวิด เบ็คแฮม ยิงจุดโทษให้อังกฤษชนะอาร์เจนตินาในรอบแรก หรือการที่เจ้าภาพเกาหลีใต้ ทะลุเข้าลึกถึงรอบรองชนะเลิศ ท่ามกลางความกังขาของคนดู, เซเนกัล ได้เล่นฟุตบอลโลกหนแรกและเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย และบราซิล สามารถคว้าแชมป์ได้เป็นสมัยที่ 5 ทั้งที่ไม่ได้เป็นทีมเต็งแชมป์ โดยสามารถเอาชนะเยอรมนีไปได้ 2-0 นอกจากนี้ยังเป็นครั้งแรกที่บอลโลกจัดขึ้นในทวีปเอเชียและมีเจ้าภาพร่วม คือญี่ปุ่น-เกาหลีใต้


แชมป์ฟุตบอลโลกครั้งที่ 18 ค.ศ. 2006 : อิตาลี

            เป็นฟุตบอลโลกที่ไม่ค่อยมีเกมการแข่งขันที่พลิกล็อกเท่าใดนัก โดยไฮไลท์สำคัญอยู่ที่นัดชิงชนะเลิศระหว่างอิตาลีพบฝรั่งเศส เพราะเป็นการลงเล่นนัดสุดท้ายของซีเนดีน ซีดาน จอมทัพฝรั่งเศส ฮีโร่ผู้พาทีมคว้าแชมป์โลกปี 1998 และเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้ฝรั่งเศสทะลุมาถึงรอบชิงชนะเลิศ ซึ่งเกมนี้ซีดาน ยิงจุดโทษอย่างเหนือชั้นทำให้ฝรั่งเศสขึ้นนำไปก่อน 1-0 ก่อนที่อิตาลีจะมาตีเสมอได้โดยมาร์โก มาเตราซซี่ อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ช็อกโลกก็เกิดขึ้น เมื่อในช่วงต่อเวลาพิเศษ ซีดานไปโขกใส่หน้าอกมาเตราซซี่ จนถูกใบแดงไล่ออกจากสนาม และเกมนั้น อิตาลีก็ชนะดวลจุดโทษฝรั่งเศส 5-3 คว้าแชมป์โลกสมัยที่ 4 ส่วนซีดานก็จบชีวิตการค้าแข้งไปอย่างไม่สวยงามนัก


แชมป์ฟุตบอลโลกครั้งที่ 19 ค.ศ. 2010 : สเปน

 


            ฟุตบอลโลกครั้งแรกบนแผ่นดินกาฬทวีปประเทศแอฟริกาใต้ ซึ่งก็เกิดเหตุพลิกล็อกขึ้นเมื่อแชมป์โลกและรองแชมป์โลก อย่างอิตาลีและฝรั่งเศส พากันตกรอบแรกด้วยกันทั้งคู่ สุดท้าย สเปนสามารถโค่นเนเธอร์แลนด์ 1-0 ในช่วงต่อเวลานัดชิงชนะเลิศ คว้าแชมป์โลกสมัยแรกไปครอง และเป็นชาติยุโรปชาติแรกที่คว้าแชมป์นอกทวีปได้

 


            สำหรับฟุตบอลโลก 2014 ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 20 ที่มีบราซิลเป็นเจ้าภาพนี้ ก็เป็นเยอรมนี คว้าแชมป์มาครองได้เป็นสมัยที่ 4

 

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ย้อนดูทำเนียบแชมป์บอลโลก ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน อัปเดตล่าสุด 14 กรกฎาคม 2557 เวลา 14:03:55 190,463 อ่าน
TOP