ภาพ AFP
กระแสความสนใจในวงการสื่อกีฬาทั่วโลกตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงของการร่วมยินดีและสดุดีความยอดเยี่ยมของทัพลูกหนัง "อินทรีเหล็ก" เยอรมนี ภายหลังจากคว้าแชมป์ ฟุตบอลโลก 2014 เป็นแชมป์โลกสมัยที่ 4 มาครองได้สำเร็จ
ความสำเร็จสูงสุดครั้งนี้คำชื่นชมคงจะยกให้ใครไปไม่ได้นอกจาก โยอาคิม เลิฟ เทรนเนอร์ผู้ปลุกปั้นทีมชุดนี้มากับมือ ทว่าความจริงที่ "บุนเดสเทรนเนอร์" ยอดฝีมือผู้นี้อยากย้ำก็คือ การจะมาถึงจุดหมายที่ยิ่งใหญ่ได้ มันต้องอาศัยปัจจัยหลายๆ อย่าง และที่สำคัญคือต้องใช้เวลาทุ่มเทมากกว่าที่ทุกคนคิด
ย้อนกลับไป 10 ปีก่อน วงการฟุตบอลเยอรมนีเคยตกต่ำถึงขีดสุด ลีกบุนเดสลีกา ก็เต็มไปด้วยนักเตะต่างชาติเข้ามาเป็นตัวหลักของทุกสโมสร และที่แย่ที่สุดคือ ทีมชาติไม่มีนักเตะที่ได้รับการยอมรับว่าอยู่ในระดับท็อปของโลก และถึงกับต้องเรียกนักอย่าง ฌอน ดันดี กองหน้าเชื้อสายออสเตรเลียที่ฝีเท้าดาดๆ ธรรมดา หรือ เปาโล ริงค์ กองกลางที่บราซิลยังเมิน มาติดทีมชาติ
แต่มาถึงวันนี้ วงการลูกหนังเยอรมนี และทีม "อินทรีเหล็ก" คือทีมที่ใครๆ ก็อยากจะเดินรอยตาม
เลิฟ ซึ่งเริ่มเข้ามามีส่วนร่วมกับทีม ตั้งแต่หลังจบ ยูโร 2004 ในฐานะมือขวาของ เจอร์เก้น คลิ้นส์มันน์ กล่าวว่า "ลีกบุนเดสลีกา มีส่วนสำคัญอย่างมากกับทีมของผม มันเริ่มมาจากระบบการซ้อมของผู้เล่นในทีมเยาวชนเลยทีเดียว ตอนที่เราตัดสินใจว่าจะใช้ผู้เล่นดาวรุ่งเป็นแกนหลักใน ฟุตบอลโลก 2010 บรรดาโค้ช, เดเอฟเบ, และสโมสรต่างๆ ล้วนแต่ช่วยกันฝึกฝน ขัดเกลาพวกเขา และเชื่อใจในตัวเด็กเหล่านั้น"
"ย้อนกลับไปในปี 2000 กับ 2004 เราประสบกับความล้มเหลวในแง่ของวงการฟุตบอลทั้งประเทศ จริงอยู่ที่เราผ่านเข้าถึงรอบชิงใน ฟุตบอลโลก 2002 แต่กับ ยูโร 2000 กับ ยูโร 2004 เราก็ตกรอบแรกหมด ตอนนั้นเราจำเป็นต้องทำอะไรสักอย่างและตัดสินใจที่จะลุยกัน"
ขุนพลเยอรมนีชักภาพร่วมกับนายกรัฐมนตรี อันเคล่า แมร์เคิ่ล ในฐานะที่สร้างความสำเร็จให้คนทั้งชาติ
เลิฟ เริ่มลงรายละเอียดถึงกระบวนการและแนวคิดในการปฏิวัติวงการลูกหนังเยอรมันว่า "เราต้องลงทุนกับการฝึกฝนและการพัฒนาผู้เล่นให้พวกเขาดีขึ้นในแง่ของเทคนิค การยึดติดอยู่กับแนวทางการเล่นในแบบฉบับเยอรมันแท้ๆ นั่นไม่เพียงพออีกต่อไปแล้ว เพราะทุกๆ ชาติต่างก็ทำได้เหมือนกัน"
"ถ้าเราไม่เปลี่ยน เราก็เดินต่อไปข้างหน้าไม่ได้ ฉะนั้นเราต้องทำผลงานในสนามให้ดีขึ้น เราสร้างศูนย์การเรียนรู้ขึ้นมา และมันส่งผลอย่างที่เราได้เห็นกัน ซึ่งเราต้องขอขอบคุณทุกๆ สโมสรที่มีส่วนร่วมกันอย่างพร้อมเพรียง นี่คือผลจากการศึกษาเรียนรู้และระบบการซ้อมที่ยอดเยี่ยมในเยอรมนี"
การพัฒนาในแง่ของเทคนิคอย่างเดียว อาจจะไม่ใช่กุญแจสู่ความสำเร็จทั้งหมด และสิ่งที่เป็นแบบฉบับของนักเตะเยอรมันตาแต่ไหนแต่ไร นั่นคือหัวจิตหัวใจนักสู้ ซึ่งหล่อหลอมจากการที่ต้องผ่านความล้มเหลวมาครั้งแล้วครั้งเล่า ตั้งแต่ใน ฟุตบอลโลก 2006 และ 2010 รวมถึง ยูโร 2008 และ 2012
"ฟุตบอลโลกหนนี้ เราเก็บตัวกันมาราวๆ 55 วัน แต่แผนงานมันเริ่มตั้งแต่ 10 ปีที่แล้ว มันเป็นผลที่เกิดจากการทำงานหนักมาหลายปี เริ่มตั้งแต่สมัย เจอร์เก้น (คลิ้นส์มันน์)"
"ทีมชุดนี้สมควรจะได้รับคำชื่นชมมากกว่าใคร เราคือทีมที่ดีที่สุดจากการลงเล่นทั้ง 7 นัด และนี่ทำให้เราภูมิใจมาก แต่ความสำเร็จมันไม่ได้มาจากช่วงไม่กี่วันมานี้ เราใช้เวลา 10 ปี ทีมชุดนี้พัฒนาทั้งสปิริต, เทคนิค และความมุ่งมั่นขึ้นมาได้อย่างเหลือเชื่อ"
เลิฟ ย้ำว่าการนำเยอรมนีสู่เป้าหมาย ตัวเองคนเดียวไม่มีทางทำได้ถ้าไม่มีความร่วมแรงร่วมใจจากหลายๆ ฝ่ายมาช่วย
"ผมเองก็โชคดีด้วย เพราะโค้ชอย่าง เจอร์เก้น คล็อปป์, เป๊ป กวาร์ดิโอล่า หรือ คาร์โล อันเชล็อตติ ช่วยกันฝึกผู้เล่นเหล่านี้ให้ผม พวกเขาคว้าแชมป์กับสโมสรมามากมายและมันทำให้เกิดความมั่นใจและเชื่อว่าพวกเขาสามารถทำได้" เทรนเนอร์วัย 54 ปีกล่าวทิ้งท้าย
เนื้อหาจาก mirror.co.uk