ราดาเมล ฟัลเกา ประวัติกองหน้าพระกาฬ นักเตะใหม่ แมนฯ ยูไนเต็ด


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก Manchester United, เฟซบุ๊ก Falcao, เฟซบุ๊ก asmonaco

          ประวัติ ราดาเมล ฟัลเกา (Radamel Falcao) นักเตะคนใหม่ของทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สัญชาติโคลอมเบีย กองหน้าผู้ระเบิดประตูมานักต่อนัก

          ในช่วงตลาดซื้อขายนักฟุตบอลในวันสุดท้าย การซื้อขายที่น่าสนใจนั้น คงหนีไม่พ้นการย้ายตัวของ ราดาเมล ฟัลเกา (Radamel Falcao) ดาวเด่นระดับซูเปอร์สตาร์ของวงการลูกหนัง ที่สโมสรโมนาโก จากลีกเอิง ฝรั่งเศส ปล่อยให้กับทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยสัญญายืมตัว 6 ล้านปอนด์  พร้อมกับสิทธิ์ซื้อขาดด้วยค่าตัว 43.5 ล้านปอนด์ จนสร้างความตื่นเต้นฮือฮาให้กับเหล่าสาวกผีแดง ที่รอคอยความหวังของกองหน้าพรสวรรค์ที่เคยมีชื่อเข้าชิงรางวัล ฟีฟ่า บัลลงดอร์ มาแล้ว วันนี้ เราจะมาทำความรู้ใจกับกองหน้าอสูรคนใหม่คนนี้กัน
 


 

ราดาเมล ฟัลเกา ประวัติส่วนตัวก่อนเข้าวงการลูกหนัง

          ราดาเมล ฟัลเกา (Radamel Falcao) มีชื่อจริงคือ ราดาเมล ฟัลเกา การ์เซีย ซาราเต้ (Radamel Falcao García Zárate) เกิดเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2529 ที่เมืองซานตา มาร์ตา ประเทศโคลอมเบีย มีพ่อชื่อ ราดาเมล การ์เซีย อดีตนักฟุตบอลในตำแหน่งกองหลัง และแม่คือคาเมนซ่า ส่วนสาเหตุที่พ่อของเขา ตั้งชื่อว่า ราดาเมล เป็นเพราะตั้งตามชื่อของเปาโล โรแบร์โต้ ฟัลเกา อดีตนักเตะทีมชาติบราซิล

          ดังนั้น ราดาเมล ฟัลเกา จึงเป็นชื่อกลางที่ใช้ในแวดวงฟุตบอลมาตลอด โดยที่เขาสูง 177 เซนติเมตร น้ำหนัก 78 กิโลกรัม

ราดาเมล ฟัลเกา กับชีวิตช่วงเริ่มต้น ในแวดวงนักฟุตบอล
 


          ราดาเมล ฟัลเกา เริ่มฝึกฟุตบอลกับสโมสร แลนเซรอส โบยาคา (Lanceros Boyac) ทีมฟุตบอลในลีก 2 ของโคลัมเบีย ซึ่งเขาเองได้ลงเตะฟุตบอลในฐานะนักเตะอาชีพครั้งแรก เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2542 ในขณะที่อายุเพียง 13 ปี ถือเป็นนักฟุตบอลอาชีพที่เปิดตัวด้วยอายุที่น้อยที่สุดของโคลอมเบีย จากนั้นก็ได้เริ่มลงสนามบ่อยขึ้น โดยในวันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2543 ราดาเมล ฟัลเกาก็พังประตูชัยเป็นครั้งแรกได้สำเร็จ ช่วยให้ทีมรอดพ้นการตกเป็นทีมสุดท้ายของตาราง

          ราดาเมล ฟัลเกา ได้มีโอกาสฝึกกับทีมมิลานาริออส แต่ทางทีมไม่ได้ต้องการซื้อตัวเขาไป จึงทำให้ ราดาเมล ฟัลเกา ย้ายไปร่วมทีมริเวอร์เพลทของอาร์เจนตินาในเดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544 ด้วยค่าตัว 3 แสนปอนด์ ในขณะที่เขามีอายุเพียง 15 ปี และเขาก็เริ่มฝึกกับทีมเยาวชน ก่อนที่จะได้เลื่อนขั้นมาเล่นฟุตบอลอาชีพครั้งแรกในปี พ.ศ. 2548

          ในปี พ.ศ. 2548 ราดาเมล ฟัลเกา ได้กลายมาเป็นตัวจริงอย่างสม่ำเสมอของทีม และทำประตูไปได้ถึง 7 ประตู ก่อนที่จะเจอปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวนจนต้องผ่าตัด ซึ่งทำให้ไม่สามารถอยู่ช่วยทีมได้จนจบฤดูกาล จนกระทั่งฤดูกาลต่อมา ที่เขาเริ่มได้ลงเล่นเยอะขึ้น จนกระทั่งวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2550 ที่ราดาเมล ฟัลเกา สามารถทำแฮตทริกได้เป็นครั้งแรกของอาชีพนักฟุตบอล และการเล่นของเขาเริ่มฉายแวว จนกระทั่งมีข่าวการติดต่อซื้อตัวจากสโมสรเอซี มิลาน, แอสตัน วิลล่า, และฟลูมินีเซ่ แต่เนื่องจากเขาเองเป็นนักเตะคนสำคัญของริเวอร์เพลท ภายใต้การคุมทีมของ ดิเอโก้ ซิเมโอเน่ และเขายังพาทีมคว้าแชมป์ลีกได้ในฤดูกาล 2007-2008 (พ.ศ. 2550-2551) ราดาเมล ฟัลเกา จึงอยู่ช่วยทีมต่อไป

          ราดาเมล ฟัลเกา ยังอยู่ช่วยทีมในปี พ.ศ. 2552 แต่เนื่องจากผลงานที่ย่ำแย่ในฤดูกาล 2008-2009 และการออกสตาร์ทที่ย่ำแย่ในฤดูกาลถัดมา ทำให้ ราดาเมล ฟัลเกา  ตัดสินใจย้ายไปค้าแข้งในยุโรป ทิ้งผลงานการทำประตู 43 ประตูจากการลงสนาม 73 ครั้งให้แก่ริเวอร์เพลทไว้เบื้องหลัง

          ในช่วงที่อยู่กับริเวอร์เพลท ราดาเมล ฟัลเกา ได้รับฉายาว่า "ไอ้เสือ" และเขาเองก็ชอบชื่อนี้

ราดาเมล ฟัลเกา กับการค้าแข้งร่วมกับทีม ปอร์โต้

          ราดาเมล ฟัลเกา ย้ายเข้าร่วมทีมปอร์โต้ ด้วยค่าตัวกว่า 3.93 ล้านยูโร หลังจากที่ปอร์โต้ขายเลซานโดร โลเปซ ให้กับสโมสรโอลิมปิก ลียง ซึ่งก่อนหน้านี้ เขาเกือบจะย้ายไปร่วมสโมสรเบนฟิก้า ทีมคู่แข่งของปอร์โต้ แต่สโมสรเบนฟิก้าปฏิเสธที่จะจ่ายเงินกินเปล่าจำนวน 7 แสนยูโร ทำให้ดีลนี้ล่มไป

          เขาเริ่มลงเตะนัดแรกในนามทีมปอร์โต้ ในนัดที่ปอร์โต้เจอกับทีมปากอส เดอ เฟร์ไรร่า (Pacos de Ferreira) อีกทั้งเขายังสามารถยิงประตูได้อีกด้วย เขาได้ลงเล่นในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ครั้งแรก ในนักที่ปอร์โต้พ่ายเชลซีไป 1-0 แต่เขาก็สามารถทำประตูแรกให้กับทีมในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกได้ ในนัดที่ปอร์โต้เอาชนะทีมแอตเลติโก มาดริด และในฤดูกาลแรกของ ราดาเมล ฟัลเกา ก็เต็มไปด้วยความสดใส เมื่อเขาจบฤดูกาลด้วยการนำเป็นดาวซัลโวสูงสุดอันดับ 2 ของลีก ด้วยการทำประตูได้ถึง 25 ประตู เป็นรองเพียง ออสการ์ คาร์โดโซ และในฤดูกาลนั้น เขาก็สามารถทำประตูรวมได้ทุกรายการที่ 34 ประตู
 


          ในฤดูกาล 2010-2011 ราดาเมล ฟัลเกา ยังโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม ทั้งการพังประตูจนทำให้ทีมปอร์โต้เอาชนะเบนฟิก้าได้ในฟุตบอลซูเปอร์คัพของโปรตุเกส รวมทั้งยังพังประตูแฮตทริกใส่ทีม ราพิด เวียนนา ( Rapid Wien) ในฟุตบอลยูฟ่า ยูโรป้า ลีก อีกทั้งยังพังแฮตทริกใส่ทีม สปาร์ตัก มอสโก ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย และเขายังสามารถทำประตูชัยให้กับทีม ในนัดชิงชนะเลิศยูโรป้า ลีกที่ปอร์โต้โคจรมาพบกับทีมร่วมชาติอย่าง บราก้า อันเป็นผลให้ทีมปอร์โต้ คว้าแชมป์ในรายการนี้ไปครอง และทำให้ ราดาเมล ฟัลเกา ทำลายสถิติผู้ทำประตูรวมสูงสุดในทัวร์นาเมนต์ที่ 17 ประตู แซงหน้าเจอร์เก้น คลินส์มัน ที่เคยทำไว้ 15 ประตู

          นอกจากนี้ ราดาเมล ฟัลเกา ยังมีส่วนสำคัญในการพาทีมปอร์โต้ชนะแชมป์ลีก (Primeira Liga) และครองแชมป์ฟุตบอลถ้วย Taca de Portugal อันถือเป็นการครอง 3 ถ้วยภายในฤดูกาลเดียว และทำให้ทีม ตัดสินใจต่อสัญญา ราดาเมล ฟัลเกา พร้อมกับกำหนดสัญญาปล่อยตัวที่ 45 ล้านยูโร

ราดาเมล ฟัลเกา ผลงานอันโดดเด่นกับทีมแอตเลติโก มาดริด

          จากผลงานอันโดดเด่นของ ราดาเมล ฟัลเกา ทำให้ทีมแอตเลติโก มาดริด ยอดทีมจากแดนกระทิงดุ ตัดสินใจซื้อตัวเขามาจากปอร์โต้ ด้วยค่าตัวกว่า 40 ล้านยูโร และจะเพิ่มเงินอีก 10 ล้านยูโรตามผลงานการลงสนาม นับเป็นผู้เล่นที่ราคาแพงที่สุดที่ทางสโมสรเคยซื้อมา โดยที่ ราดาเมล ฟัลเกา ลงสนามนัดแรกในนัดที่ แอตเลติโก มาดริด พ่ายแพ้ต่อทีมบาเลนเซีย 1-0
 


          อย่างไรก็ตาม แฟน ๆ แอตเลติโก มาดริด ก็ไม่ต้องผิดหวังกับฟอร์มของราดาเมล ฟัลเกา เมื่อเขาสามารถยิงแฮตทริกครั้งที่ 2 ในลาลีกาใส่ทีมเรอัล โซเซียดาด และผลงานในทัวร์นาเมนต์ยูโรป้าลีกก็ดีต่อเนื่อง เมื่อเขาสามารถยิงประตูได้เป็นกอบเป็นกำ ใส่ทีมคู่แข่งจากทั่วยุโรปอย่างลาซิโอ้, เบซิคตัส, ฮันโนเวอร์ 96, บาเลนเซีย และพาทีมทะลุเข้าสู่รองชิงยูโรป้า ลีก ก่อนที่เขาจะระเบิดแข้งยิงถึง 2 ประตู ทำให้แอตเลติโก มาดริด เอาชนะ แอธเลติก บิลเบา 3-0 คว้าถ้วยยูโรป้ามาครองได้สำเร็จ และเขาก็กลายเป็นคนที่ทำประตูได้สูงสุดของทัวร์นาเมนต์ที่ 12 ประตู รวมทั้งยังเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ที่คว้าถ้วยยูโรป้า ลีกมาครองได้ 2 ปีติดต่อกัน จนสุดท้าย ราดาเมล ฟัลเกา จบฤดูกาลด้วยการเป็นผู้ทำประตูสูงสุดของสโมสร ยิงรวมกันในทุกรายการได้ถึง 36 ประตู

          ในฤดูกาลปี 2012-2013 (พ.ศ. 2554-2555) ราดาเมล ฟัลเกา ก็สามารถพาทีมแอตเลติโก มาดริด เอาชนะเชลซี และได้ถ้วยยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ มาครอง และเป็นคนแรกที่สามารถทำแฮตทริกได้ในถ้วยนี้ ทว่า ในฤดูกาลนี้เขากลับมีอาการบาดเจ็บตามมารบกวนอยู่บ่อย ๆ จึงทำให้เขาลงสนามได้ไม่ต่อเนื่อง แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็สามารถพาทีมไปจบได้ที่อันดับ 3 ของตาราง การันตีการลงเล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รวมทั้งเขายังพาทีมทะลุเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศ ฟุตบอลถ้วย โคปา เดล เรย์ พบกับทีม เรอัล มาดริด ที่ผลปรากฏว่า แอตเลติโก มาดริด สามารถเอาชนะคู่แค้นร่วมเมืองอย่าง เรอัล มาดริด 2-1 และทำให้ชื่อของ ราดาเมล ฟัลเกา กลายเป็นที่จดจำอีกครั้ง จบฤดูกาลนั้น ราดาเมล ฟัลเกา จึงได้ย้ายไปออกจากทีมไปค้าแข้งในต่างแดน พร้อมกับสถิติค่าตัวระดับโลก

ราดาเมล ฟัลเกา กับการย้ายทีมด้วยค่าตัวระดับโลกสู่ โมนาโก

          เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 มิกูเอล อังเคล กิล มาริน ผู้จัดการทั่วไปของทีมแอตเลติโก มาดริด ได้ออกมาประกาศว่า ทางสโมสรพร้อมที่จะปล่อยตัวราดาเมล ฟัลเกาออกจากทีมหากเขาต้องการเช่นนั้น และทำให้ทีมโมนาโก ( AS Monaco FC) ได้ตัดสินใจทำสัญญาคว้าตัวของเขาด้วยสัญญา 5 ปี เป็นเงินกว่า 60 ล้านยูโร และเงินเดือนทั้งปีของเขาที่ 18.2 ล้านยูโร ซึ่งแม้ว่าราดาเมล ฟัลเกา จะมีความจำนงอย่างแน่ชัดที่จะอำลาทีมเก่า แต่เขาก็ยังคงแสดงความอาลัยต่อการอำลาทีม แอตเลติโก มาดริด โดยที่เขาบอกว่า เขาต้องการที่จะดำเนินรอยตาม เธียร์รี่ อองรี นักเตะในดวงใจของเขา
 


          ราดาเมล ฟัลเกา ลงเล่นนัดแรกในกับทีมโมนาโกในนัดที่เจอกับทีม บอร์กโดซ์  (Girondins de Bordeaux) ซึ่งแม้ว่าเขาจะทำประตูได้อย่างต่อเนื่อง แต่เขาเองก็ต้องเจอความยากลำบากในการปรับตัวพอสมควร เนื่องจากในฝรั่งเศสนั้นมีการเน้นลูกกลางอากาศและกองหลังตัวใหญ่ ซึ่งผลจากการลงเล่นให้ทีมอย่างต่อเนื่อง ทำให้อาการบาดเจ็บเข้ามารบกวนเขาอยู่เรื่อย ๆ และทำให้เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2557 ราดาเมล ฟัลเกา ต้องพักรักษาตัวจากปัญหาอาการบาดเจ็บเข่าทั้งฤดูกาล รวมถึงการที่เขาต้องพลาดฟุตบอลโลก 2014 อีกด้วย

          ราดาเมล ฟัลเกา พักรักษาตัวนานกว่า 6 เดือน แต่เขาก็ยังมาร่วมฟุตบอลปรีซีซั่นกับทีม ก่อนถึงฤดูกาล 2014-2015 (พ.ศ. 2557-2558) จากการลงเล่นในรายการ  Emirates Cup รวมทั้งเขายังได้ลงเล่นฟุตบอลลีกในนัดที่โมนาโกแพ้ให้กับลอเรียนต์ (Lorient) ซึ่งในตอนนั้น ก็มีข่าวลือเรื่องการย้ายทีมของเขาออกมาเป็นระยะ และสุดท้าย เขาก็ตัดสินใจย้ายไปเล่นในถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด

ราดาเมล ฟัลเกา สู่การเป็นกองหน้าตัวความหวัง ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

          เมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2554 ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ตกลงยืมตัว ราดาเมล ฟัลเกา ด้วยค่าตัว 6 ล้านปอนด์ และมีสัญญาซื้อขาดที่ 43.5 ล้านปอนด์ โดยที่มีทีมคู่แค้นร่วมเมืองอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ให้ความสนใจเช่นกัน
 


ราดาเมล ฟัลเกา กับผลงานในระดับทีมชาติ

          ราดาเมล ฟัลเกา ได้ลงเล่นให้กับทีมชาติโคลอมเบีย ตั้งแต่รุ่นอายุไม่เกิน 17 ปี และ 20 ปี เขาเป็นส่วนหนึ่งของทีมโคลอมเบียที่คว้าแชมป์ South American Youth Champion 2005 แต่ทัวร์นาเมนต์ระดับนานาชาติครั้งแรกที่เขามีส่วนร่วมคือ ฟุตบอลโลกรุ่นอายุไม่เกิน 20 ปี

          ประตูแรกในนามทีมชาติของ ราดาเมล ฟัลเกา เกิดขึ้นในนัดที่โคลอมเบียชนะมอนเตเนโกร 1-0 ในรายการ Kirin Cup และเขายังสามารถทำประตูได้ในรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2010 ระหว่างนักที่โคลอมเบียเจอกับเปรู

          ในฟุตบอลรายการ โคปา อเมริกา 2011 ราดาเมล ฟัลเกา สามารถทำประตูในนัดที่เจอกับทีมคอสตาริกา และ อาร์เจนตินา รวมทั้งยังทำได้ถึง 2 ลูกในนัดที่เจอกับโบลิเวีย ซึ่งทำให้ทีมโคลอมเบียเป็นทีมอันดับ 1 ของกลุ่ม แต่ในรอบต่อมา ราดาเมล ฟัลเกา กลับพลาดลูกจุดโทษ จนทำให้ความหวังในการผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายของโคลอมเบียต้องดับวูบลง เนื่องจากเปรู สามารถทำประตูได้ในช่วงต่อเวลาพิเศษ
 


          ในรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2014 ราดาเมล ฟัลเกา สามารถทำประตูให้กับทีมได้อย่างต่อเนื่อง และกลายเป็นผู้ที่ทำประตูสูงสุดให้กับทีมชาติโคลอมเบียสูงสุดที่ 9 ประตู อย่างไรก็ตาม จากการบาดเจ็บบริเวณเข่าของเขาในช่วงเดือนมกราคม พ.ศ. 2557 ก็ทำให้มีความเป็นไปได้ว่าเขาจะพลาดฟุตบอลโลก แต่ถึงอย่างนั้น เขาเองก็ยังมีความหวังว่าจะได้เล่นฟุตบอลในรายการนี้ นอกจากนี้ เขาเองยังได้รับกำลังใจมากมายจากอดีตเพื่อนร่วมทีม ทั้งจากสโมสร ริเวอร์เพลท, ปอร์โต้, แอตเลติโก มาดริด และโมนาโก ที่ทุกคนร่วมใจกันใส่เสื้อยืดที่มีคำว่า 'Fuerza Tigre' (เข้มแข็งไว้ ไอ้เสื้อ)

          อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการประกาศรายชื่อ 30 คนของนักเตะที่ได้รับคัดเลือกให้ร่วมเล่นในฟุตบอลโลก 2014 ก็มีชื่อของ ราดาเมล ฟัลเกา ติดมาด้วย แต่สุดท้าย เขาเองก็ไม่ผ่านการตัดตัว 23 คนสุดท้าย แต่เขาก็ยังเข้าร่วมฝึกกับเพื่อนร่วมทีม

ชีวิตส่วนตัวเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยกับ ราดาเมล ฟัลเกา

          ราดาเมล ฟัลเกา แต่งงานกับ ลอเรลเล่ ทารอน นักร้องสาวชาวอาร์เจนตินา และทั้งสองคนมีลูกสาวด้วยกัน 1 คนคือ ดอมินิค การ์เซีย ทารอน ซึ่งเกิดเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2556 นักฟุตบอลในดวงใจของ ราดาเมล ฟัลเกา คือ เธียร์รี่ อองรี และเขาเองยังเป็นคริสเตียนผู้ยึดมั่นในพระเจ้า ราดาเมล ฟัลเกา เป็นหัวหน้าของกลุ่มเผยแพร่ศาสนา Locos por Jesus และ Campeones para Cristo เขาได้ทุ่มเงินเป็นจำนวนมากในโครงการช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสในท้องถิ่น ซึ่งราดาเมล ฟัลเกา ก็ได้เจอกับภรรยาของเขาครั้งแรกในโบสถ์อีกด้วย

ประวัติ ราดาเมล ฟัลเกา

          ชื่อ ราดาเมล ฟัลเกา การ์เซีย ซาราเต้ (Radamel Falcao García Zárate)
          วันเกิด 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2529
          สูง 177 เซนติเมตร
          น้ำหนัก 78 กิโลกรัม
          ตำแหน่ง กองหน้า

ผลงาน

ริเวอร์เพลท
          แชมป์ลีก Argentine Primera División : 2008

ปอร์โต้
          Primeira Liga : 2010–11
          Taça de Portugal : 2009–10, 2010–11
          Portuguese Super Cup : 2010, 2011
          UEFA Europa League : 2010–11

แอตเลติโก มาดริด
          Copa del Rey : 2012–13
          UEFA Europa League : 2011–12
          UEFA Super Cup : 2012

ทีมชาติโคลัมเบีย
          South American Youth Championship : 2005

ผลงานส่วนตัว
          South American XI : 2007
          Taça de Portugal Top Goalscorer : 2009–10
          Portuguese Golden Ball : 2010–11
          UEFA Europa League Top Goalscorer : 2010–11,1 2011–12
          UEFA Europa League Final Man of the Match : 2011, 2012
          UEFA Super Cup Man of the Match : 2012
          FIFA FIFPro World XI : 2012
          GQ Spain Sports man of the year : 2012
          Globe Best Footballer : 2012
          Onze de Bronze : 2012









 

เรื่องน่าสนใจอื่นๆ
เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ราดาเมล ฟัลเกา ประวัติกองหน้าพระกาฬ นักเตะใหม่ แมนฯ ยูไนเต็ด อัปเดตล่าสุด 4 กันยายน 2557 เวลา 13:43:04 13,837 อ่าน
TOP