
คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ยอดศูนย์หน้าซูเปอร์สตาร์ชาวโปรตุเกส กลายเป็นนักฟุตบอลคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็น มหาเศรษฐีพันล้านดอลลาร์ (Billionaire) จากการประเมินของ บลูมเบิร์ก (Bloomberg) บริษัทข้อมูลทางการเงินและสื่อชั้นนำระดับโลก จากรายงานของ bbc.com เมื่อ 9 ตุลาคม 2568
ดัชนี Bloomberg Billionaires Index ซึ่งติดตามความมั่งคั่งของผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ได้ทำการวัดมูลค่าทรัพย์สินของกองหน้าวัย 40 ปีของบ้านผลบอลอัล นาสเซอร์ และทีมชาติโปรตุเกส เป็นครั้งแรก และพบว่ามูลค่าสุทธิของเขาสูงถึง 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 5.18 หมื่นล้านบาท) เลยทีเดียว
การประเมินความมั่งคั่งครั้งนี้ครอบคลุมรายได้ตลอดอาชีพการค้าแข้ง การลงทุน และข้อตกลงการรับรองสินค้า (Endorsements) โดยรายงานระบุว่า โรนัลโด้ มีรายได้จากเงินเดือนรวมกว่า 550 ล้านดอลลาร์ ระหว่างปี 2002 ถึง 2023 นอกจากนี้ ยังมีการเปิดเผยรายละเอียดของรายได้จากข้อตกลง และสปอนเซอร์ต่าง ๆ รวมถึงสัญญาความร่วมมือนับ 10 ปีกับ Nike ซึ่งมีมูลค่าเกือบ 18 ล้านดอลลาร์ ต่อปี
จุดสำคัญที่ขับเคลื่อนความมั่งคั่งของเขาพุ่งทะยานคือการย้ายไปลุยผลบอลสดกับ อัล นาสเซอร์ ในตารางบอลซาอุฯ โปรลีก เมื่อปี 2022 ซึ่งทำให้เขากลายเป็นนักฟุตบอลที่ได้รับค่าเหนื่อยสูงสุดในประวัติศาสตร์ ด้วยรายได้ต่อปี ที่รายงานว่าสูงถึง 177 ล้านปอนด์
แม้ว่าสัญญาเดิมจะสิ้นสุดลงในเดือนมิถุนายน 2025 แต่เขาก็ได้เซ็นสัญญาฉบับใหม่เพิ่มไปอีก 2 ปี ซึ่งมีมูลค่ารายงานว่ามากกว่า 400 ล้านดอลลาร์ โดยจะทำให้เขายังคงค้าแข้งกับสโมสรไปจนกระทั่งอายุมากกว่า 42 ปี แถมยังมีส่วนร่วมกับหุ้นสโมสรที่ 15 เปอร์เซ็นต์อีกด้วย
ในขณะเดียวกัน ลิโอเนล เมสซี่ คู่แข่งตลอดกาลของเขา ซึ่งปัจจุบันค้าแข้งกับ อินเตอร์ ไมอามี่ ได้รับรายงานว่ามีรายได้จากเงินเดือนก่อนหักภาษีมากกว่า 600 ล้านดอลลาร์ ตลอดอาชีพค้าแข้ง โดยรวมถึงค่าจ้างรายปีที่รับประกัน 20 ล้านดอลลาร์ ตั้งแต่ปี 2023 ซึ่งคิดเป็นประมาณ 10% ของรายได้ของ CR7 ในช่วงเวลาเดียวกัน อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าเมื่อเมสซี่วัย 38 ปี แขวนสตั๊ด เขาจะได้รับส่วนแบ่งความเป็นเจ้าของในสโมสร อินเตอร์ ไมอามี่ ด้วย
ทั้งนี้ การจัดอันดับของ บลูมเบิร์ก ในครั้งนี้ยังถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่ตอกย้ำถึงอิทธิพลทาง ธุรกิจกีฬา ของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ซึ่งสามารถเปลี่ยนความสำเร็จในสนามให้เป็นอาณาจักรทางการเงินระดับโลกได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ขอบคุณข้อมูลจาก : bbc.com
ภาพข่าว : AFP