เจ้าหนูชาวอัฟกานิสถานวัย 5 ขวบ เจ้าของเสื้อบอลเมสซี่จากถุงพลาสติก ยิ้มหล่ออวดของขวัญชิ้นพิเศษ ได้เสื้อบอลทีมฟ้า-ขาว พร้อมลายเซ็นจากมือ ลิโอเนล เมสซี่ สมหวังอย่างที่ฝันแล้ว
มูร์ตาซา อาห์มาดิ เด็กชาวอัฟกานิสถานวัย 5 ขวบ ที่โด่งดังไปทั่วโลกหลังภาพของเขาในชุดเสื้อบอลทีมชาติอาร์เจนตินา ที่ทำมาจากถุงพลาสติกสีฟ้า-ขาว พร้อมเขียนเบอร์ 10 ซึ่งเป็นหมายเลขของ ลิโอเนล เมสซี่ ถูกแชร์ออกไปทั่วโลกออนไลน์ ในตอนนี้ได้สมหวังตามความตั้งใจแล้ว ได้มีเสื้อบอลทีมชาติอาร์เจนตินาของแท้ใส่ แถมยังมีลายเซ็นของ ลิโอเนล เมสซี่ ซูเปอร์สตาร์แข้งทองในดวงใจเซ็นมาให้เขาโดยเฉพาะด้วย
เว็บไซต์เดลี่เมล เผยในรายงานในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2559 ว่า ของขวัญพิเศษชิ้นนี้ ถูกส่งมอบให้มูร์ตาซา ผ่านความร่วมมือระหว่างองค์กรที่เมสซี่ให้การสนับสนุนกับองค์กรยูนิเซฟ นอกจากเสื้อบอลทีมชาติอาร์เจนตินาที่มีลายเซ็นเมสซี่ พร้อมข้อความ "รักนะเจ้าหนู, ลีโอ" ก็ยังมีเสื้อบอลของบาร์เซโลน่า และลูกฟุตบอลอีก 1 ลูกด้วย
มูร์ตาซายิ้มแป้นถ่ายรูปกับของขวัญชิ้นพิเศษอย่างมีความสุข แถมยังให้ประกาศว่า "ผมรักเมสซี่ฮะ แล้วบนเสื้อนี่เมสซี่ก็บอกว่ารักผมด้วย"
นับตั้งมีการตามหาตัวมูร์ตาซาพบ ว่าเขาคือเจ้าหนูเสื้อบอลถุงพลาสติกผู้โด่งดัง ก็ได้มีการประสานงานกันระหว่างสหพันธ์ฟุตบอลอัฟกานิสถานกับทางองค์กรของเมสซี่ เพื่อจะจัดการนัดพบกันระหว่างทั้งสองฝ่าย อันจะเกิดขึ้นที่สนามเหย้าของบาร์เซโลน่าในประเทศสเปน โดยในตอนนี้ทางสหพันธ์กำลังพยายามติดต่อโดยตรงกับทางสโมสร เพื่อนัดหมายวันเวลาที่แน่นอนที่จะให้มูร์ตาซาและเมสซี่ได้มาพบกัน
โดยในช่วงเวลาระหว่างนี้ มูร์ตาซาได้รับโอกาสให้เดินทางขึ้นมายังเมืองหลวงของประเทศ และร่วมอบรมฝึกซ้อมฟุตบอลที่สนามฟุตบอลกรุงคาบูล โดยเจ้าหนูยังอุตส่าห์พกเสื้อบอลสีฟ้า-ขาว จากถุงพลาสติกตัวเก่ง มาใส่ทับเสื้อบอลที่ทางสหพันธ์เตรียมไว้ให้เขาด้วย
ทั้งนี้ แม้ฟุตบอลและคริกเก็ต จะเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมมากในอัฟกานิสถาน แต่การกีฬาในประเทศก็ไม่ค่อยเฟื่องฟูนัก สืบเนื่องจากการตกอยู่ใต้อำนาจของกลุ่มตอลิบาน ส่วนสนามฟุตบอลกรุงคาบูลก็กลับกลายเป็นที่รู้จักในฐานะสถานที่ซึ่งใช้ในการลงโทษนักโทษมากกว่า และด้วยเหตุนี้ อารีฟ อาห์มาดิ พ่อของมูร์ตาซา จึงได้เอ่ยว่า การที่ลูกชายเขาจะได้พบกับนักเตะดังอย่างเมสซี่ ไม่เพียงแต่จะเป็นความสุขเฉพาะของมูร์ตาซาเท่านั้น แต่ยังเป็นความสุขและความภาคภูมิใจของคนทั้งประเทศเลยทีเดียว
ภาพจาก เฟซบุ๊ก Hamayon Ahmadi, เฟซบุ๊ก Unicef Afghanistan
