ดีเอโก้ มาราโดน่า ตำนานฟุตบอลระดับโลก และทีมชาติอาร์เจนตินา เกิดที่กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา ในปี 1960 โดยเจ้าตัวมีพี่น้องรวมกัน 8 คน และมี 3 คนที่เป็นนักฟุตบอล แต่มีเพียงแค่ ดีเอโก้ อาร์มันโด้ มาราโดน่า เพียงรายเดียวเท่านั้น ที่สามารถแจ้งเกิดบนเวทีลูกหนังได้สำเร็จ
ชีวิตช่วงวัยเด็กของ เสือเตี้ย นับว่าค่อนข้างยากลำบากทีเดียว แต่เขารักฟุตบอลมาก ๆ โดยมีคุณแม่เป็นแรงผลักดันที่คอยอยู่เบื้องหลัง และสนับสนุนทุกอย่าง ซึ่งแน่นอนว่าพรสวรรค์ของเขาไปเตะตาแมวมองของ อาร์เจนติโนส จูเนียร์ส ตั้งแต่อายุได้ 8 ขวบ ก่อนจะถูกนำตัวเข้าไปอยู่ในอะคาเดมี่ของสโมสร
จากนั้นในปี 1976 ดีเอโก้ มาราโดน่า วัย 15 ปี ก็สามารถก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ของ อาร์เจนติโนส จูเนียร์ส ได้สำเร็จด้วยวัยเพียง 15 ปีเท่านั้น ก่อนจะลงสนามไปทั้้งหมด 166 นัด และทำได้ถึง 116 ประตู ซึ่งแน่นอนว่าด้วยฟอร์มการเล่นแบบนี้ทำให้ยักษ์ใหญ่อย่าง โบคา จูเนียร์ส มาดึงเขาไปร่วมทีมในปี 1981
และที่ โบคา จูเนียร์ส นี่เองที่ทำให้ชื่อเสียงของเขาเริ่มไม่ได้ดังอยู่เพียงแค่ในประเทศแล้ว เพราะว่าเมื่อจบฤดูกาล มาราโดน่า ที่ลงเล่นไป 40 นัด และยิงได้ถึง 28 ประตู ก็ถูกยักษ์ใหญ่ในยุโรปอย่าง บาร์เซโลนา ซื้อตัวไปร่วมทีมด้วยค่าตัวสถิติโลก 5 ล้านปอนด์ แต่ว่า ยอดแข้งอาร์เจนไตน์ ก็อยู่ช่วย บาร์ซ่า ลุยตารางบอลได้เพียงแค่ 2 ฤดูกาลเท่านั้น ก่อนจะย้ายไปยิ่งใหญ่คับฟ้ากับ นาโปลี ด้วยค่าตัวสถิติโลกใหม่ที่ 6.9 ล้านปอนด์
สำหรับการค้าแข้งที่ นาโปลี เขาได้รับการยกย่องให้เป็น นักฟุตบอลที่ดีที่สุดของศตวรรษ อย่างแท้จริง หลังสามารถร่ายมนต์บนฟลอร์หญ้าช่วยให้ทีม อัซซูร่า คว้าแชมป์ลีกได้เป็นครั้งแรกในปี 1987 บวกด้วยแชมป์โคปปา อิตาเลีย แต่สุดท้ายแล้ว ราชันย์แห่งเมืองเนเปิ้ลส์ ก็มีอันต้องถึงจุดตกต่ำของชีวิต ภายหลังตรวจโด๊ปไม่ผ่าน เนื่องจากถูกพบว่าเขามีโคเคนในกระแสเลือด ส่งผลให้ถูกแบนจากฟุตบอลไปอย่างยาวนานถึง 15 เดือน
ในปี 1992 หลังพ้นโทษแบน เขาก็ย้ายออกจาก นาโปลี โดยฝากผลงานลงสนาม 259 นัด 115 ประตูเอาไว้ ซึ่งทาง นาโปลี เองก็ได้ประกาศรีไทร์เสื้อหมายเลข 10 ให้กับนักเตะผู้เป็นตำนานของพวกเขาด้วยเช่นกัน
โดยเส้นทางชีวิตหลังจากนั้นของ มาราโดน่า ก็ถือว่าไม่ได้มีช่วงที่รุ่งเรืองอีกเลยกับทั้ง เซบีย่า, นีเวลล์ โอลด์บอยส์ และโบคา จูเนียร์ส ซึ่ง เสื้อเตี้ย ได้ประกาศแขวนสตั๊ดกับ โบคาฯ ในปี 1997 ปิดฉากเส้นทางชีวิตลูกหนัง และแม้ว่าเขาจะมารับงานผู้จัดการทีมให้กับอีกหลาย ๆ สโมสร รวมไปถึงทีมชาติ แต่ว่าผลงานก็ไม่มีอะไรโดดเด่นเลย
-หัตถ์พระเจ้า-
ถ้าไม่พูดถึงเรื่องนี้ก็คงจะไม่ได้ กับไฮไลต์สุดสำคัญในชีวิตการเล่นฟุตบอลของ ดีเอโก้ มาราโดน่า กับการแข่งขันฟุตบอลโลกในปี 1986 โดยทัวร์นาเม้นต์มี เม็กซิโก เป็นเจ้าภาพ และทีมฟ้าขาวอยู่ในกลุ่มเอร่วมกับ อิตาลี, เกาหลีใต้ และบัลแกเรีย โดย มาราโดน่า พาทีมเข้ารอบด้วยตำแหน่งแชมป์กลุ่ม โดยในรอบ 16 ทีมสุดท้ายสามารถเอาชนะ อุรุกวัย ไปได้ 1-0
ไฮไลต์ที่ทุกคน และแฟนฟุตบอลไม่มีวันลืมมันอยู่ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายนี่เอง ซึ่งมันเป็นวันที่ ดีเอโก้ มาราโดน่า ท็อปฟอร์มแบบสุด ๆ โดยประตูที่เขาทำได้เป็นประตูออกนำ 1-0 นั้น เขาให้นิยามว่าเป็น Hand Of God หรือว่า หัตถ์ของพระเจ้า เพราะหลังจบเกม เสือเตี้ย ได้ให้สัมภาษณ์ว่า "ประตูที่เขาทำได้นั้นส่วนหนึ่งมาจากหัวของ ดีเอโก้ มาราโดน่า และอีกส่วนคือหัตถ์ของพระเจ้า"
ส่วนประตูที่ 2 นับว่าเป็นประตูที่ยังคงตราตรึงแฟนบอลได้เป็นอย่างดี หลังจากที่เจ้าตัวกระชากบอลขึ้นมาเองคนเดียวจากกลางสนามก่อนจะพลิ้วผ่านผู้เล่นอังกฤษได้ถึง 4 คนก่อนจะล็อกบอลหลบ ปีเตอร์ ชิลตัน นายด่านคนดังของอังกฤษ แล้วยิงบอลเข้าประตูไปอย่างเยือกเย็น โดยเกมนี้ อาร์เจนตินา เอาชนะ อังกฤษ ไปได้ 2-1
สุดท้ายแล้ว ขุนพลฟ้าขาว ที่นำโดย ดีเอโก้ มาราโดน่า ก็สามารถคว้าแชมป์โลกในทัวร์นาเม้นต์นี้มาครองได้สำเร็จ ด้วยการเอาชนะ เยอรมนีตะวันตก ไปได้ 3-2 ในเกมนัดชิงชนะเลิศ
ทั้งนี้ ดีเอโก้ มาราโดน่า ถือว่าเป็นนักฟุตบอลที่ได้รับการยอมรับจากคนทั้งโลกว่ามีฝีเท้าที่เหนือชั้นอย่างแท้จริง แม้ว่าในวันนี้เขาจะสิ้นลมหายใจ และกลายเป็นตำนานของวงการลูกหนังไปอย่างสมบูรณ์แบบ แต่ผลงานของเขาที่ได้ฝากเอาไว้นั้น จะยังคงอยู่กับแฟนบอลไปตราบชั่วนิจนิรันดร์
- R.I.P Diego Armando Maradona -
ภาพข่าว: AFP