
เอฟเอ คัพ รอบชิงชนะเลิศ
วันเสาร์ที่ 15 พฤษาคม 2553
เชลซี 1 - 0 ปอร์ทสมัธ
ประตู : 1-0 ดิดิเยร์ ดร็อกบา น.58
ไฮไลท์การทำประตูในเกมนี้
ครึ่งแรก
แค่ออกสตาร์ทมา 3 นาที เชลซี ก็เกือบที่จะได้ประตูขึ้นนำเมื่อ แลมพาร์ด ทำชิ่งให้อเนลก้า หลุดไปหน้าเขตโทษพยายามจะยิงก็โดนบล็อก แต่บอลมาเข้าทางแลมพาร์ด ยิงสวนแต่บอลเฉี่ยวเสาออกไปนิดเดียว
จากนั้นเกมยังเป็นทางแชมป์ พรีเมียร์ลีกที่ทำได้ดีกว่า และ แลมพาร์ด ก็เกือบจะมีชื่อเป็นผู้ทำประตูเบิกร่องอีกครั้งเมื่อได้ลองส่องไกลเน้นๆ จากระยะ 30 หลา บอลติดไซด์ผ่านมือเจมส์ ก่อนจะไปชนเสากระเด้งออกไป
นาทีถัดมาเชลซีได้ลุ้นอีก อเนลก้าใช้ความเร็วกระชากหลบ สตีฟ ฟินแนน มายิงที่หน้าเขตโทษ แต่ เดวิด เจมส์ปัดเอาไว้ได้ที่เสาแรก
นาทีที่ 22 ไม่น่าเชื่อว่าปอร์ทสมัธจะพลาดโอกาสขึ้นนำ ดินดานหลุดไปเปิดบอลในเขตโทษทางขวาไปให้ เควิน-พรินซ์ บัวเต็ง วอลเลย์ตามน้ำโล่งๆ ที่เสาสอง บอลไปแฉลบขา เฟรเดริก ปิกิยอน ที่กลางประตูเปลี่ยนทางทำท่าจะเข้าประตู แต่ ปีเตอร์ เช็ก ยังไวปัดบอลข้ามคานไปได้
นาทีที่ 27 เรื่องน่าเหลือเชื่อเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากจังหวะที่แอชลี่ย์ โคลเลี้ยงตะลุยขึ้นไปทางฝั่งซ้าย ก่อนที่จะเปิดบอลแบบใส่พานเข้าไปในกรอบเขตโทษให้กับกาลู ที่ยืนรอโล่ง ๆ เพราะเจมส์พุ่งออกไปบล็อกวืดตั้งแต่จังหวะโคลแล้ว แต่กาลูดันยิงไปชนคาน ก่อนที่เจมส์จะกลับตัวพุ่งมาคว้าบอลได้ทัน นี่เป็นโอกาสที่เรียกได้เลยว่าน่าจะต้องเป็นประตู 90 เปอร์เซ็นต์แล้วแท้ ๆ
อีกครั้งที่ เชลซี พลาดโอกาสได้ประตูก็คือจังหวะที่ จอห์น เทอร์รี่ เติมขึ้นไปเล่นลูกเซ็ตเพลย์แล้วได้ขึ้นโขกเต็มหัวแต่บอลย้อยไปตกลงบนคาน
เชลซีได้โอกาสอีกใน นาที 38 ดร็อกบาสับไกยิงจากระยะกว่า 35 หลา เดวิด เจมส์ ปัดบอลไปชนคานกระดอนตกลงบนเส้นประตู ก่อนที่กองหลังพอร์ทสมัธจะตามมาเตะทิ้งไปได้
นาที 42 เชลซีได้ลุ้นอีกครั้ง อเนลก้าเปิดบอลจากทางฝั่งขวาเขตโทษไปให้ดร็อกบาที่เสาสอง แต่ว่าดร็อกบาจิ้มบอลลอดตัวเจมส์ไปชนเสาออกหลังไปอีก
นาทีถัดมาเชลซีต้องเปลี่ยนบัลลัคที่บาดเจ็บออก แล้วส่ง ชูเลียโน่ เบลเลตติ ลงมาเล่นแทน หมดครึ่งแรกทั้งคู่ยังเสมอกันอยู่ 0-0
ครึ่งหลัง
นาที55 พอร์ทสมัธมาได้ลูกที่จุดโทษ เมื่อเบลเลตติไปทำฟาวล์ดินดานในจังหวะที่พาบอลลุยเข้าไปในเขตโทษ และเป็นบัวเต็งรับหน้าที่สังหาร แล้วยิงเรียดไปกลางประตู แต่ติดขา ปีเตอร์ เช็ก ออกไปชวดโอกาส
นาที 59 กลายเป็น เชลซี มาได้ประตูขึ้นนำจากลูกฟรีคิกนอกเขตโทษ ดร็อกบา แปบอลด้วยขวาเต็มแรงข้ามกำแพงก่อนพุ่งชนเสาหมดสิทธิที่ เจมส์ จะปัดทันสกอร์ขยับเป็น1-0
นาที 63 อีวาโนวิช หลุดขึ้นมาทางกราบขวาก่อนจะเปิดบอลมาให้ กาลู ชาร์จบอลหน้าประตูหลุดเสาสองออกไป
นาทีที่ 70 กาลูที่พลาดโอกาสทองในวันนี้ ถูกเปลี่ยนตัวออก และอันเช่ก็ส่งโจ โคลลงไปเล่นแทน ซึ่งต้องดูว่าโคลจะสามารถทำฟอร์มได้ดีหรือไม่
นาที 72 นาทีต่อมาดร็อกบาโชว์การลากเลื้อยผ่านกองหลังของปอร์ทสมัธเข้าไปในกรอบเขต โทษ แล้วดวลเดี่ยวกับเจมส์ แต่ยิงไปติดเซฟ ก่อนที่บอลจะเด้งกลับมาที่เขา คราวนี้ใจกว้างจ่ายให้กับโจ โคลได้ยิงเหน่ง ๆ แต่ก็โดนกองหลังของปอร์ทสมัธเข้ามาบล็อกไว้ได้อีก
เข้าสู่ 10 นาทีสุดท้ายพอร์ทสมัธทิ้งไพ่ใบสุดท้ายส่งทั้ง เอ็นวานโก้ คานู และ นาดีร์ เบลฮาดจ์ ลงมาแทน ปาปา บูบา ดิย็อป และ เฮย์เด้น มัลลินส์
นาที 87 จากลูกจุดโทษ เมื่อ แลมพาร์ด ถูก บราวน์ เสียบล้มลงในเขตโทษ แต่มิดฟิลด์ทีมชาติอังกฤษกลับซัดหลุดเสาออกไปเองอย่างน่าเสียดาย
อย่างไรก็ตาม สิงห์บลูส์ ก็สามารถรักษาสกอร์นำอยู่ไว้ได้จนจบ 90 นาทีจึงเป็นฝ่ายเอาชนะไป 1-0 พร้อมกับคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ เป็นสมัยที่ 6 และเป็นการคว้าดับเบิลแชมป์คือพรีเมียร์ลีกและเอฟเอ คัพครั้งแรกของสโมสร
รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
เชลซี : ปีเตอร์ เช็ก,แอชลี่ย์ โคล,จอห์น เทอร์รี่,อเล็กซ์,บรานิสลาฟ อิวาโนวิช,แฟรงค์ แลมพาร์ด,ฟลอร็องค์ มาลูด้า,มิชาเอล บัลลัค(เบลเล็ตติ น.44),นิโกลาส์ อเนลก้า(สเตอร์ริดจ์ น.90),ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา,ซาโลมอง กาลู(โจ โคล น.71)
ปอร์ทสมัธ : เดวิด เจมส์,สตีฟ ฟินแน่น,ริคาร์โด้ โรช่า


