คิงเคนนี่vsเซอร์อเล็กซ์..ศักดิ์ศรีแห่งแดงเดือด

 

"คิงเคนนี่" ในวัย 60 จะนำทีมลงดวลกับ "ปิศาจแดง" ของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อีกครั้ง หลังจากในเกมแรกที่หวนกลับมารับงานคุมทัพ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล เป็นฝ่ายบุกไปพ่าย 0-1 ในเกม เอฟเอ คัพ รอบ 3 เมื่อช่วงต้นเดือนม.ค.


อย่างไรก็ตาม ทั้ง ดัลกลิช และ เซอร์ อเล็กซ์ ซึ่งต่างก็มีเลือดนักสู้แบบสกอตต์ ได้ขับเคี่ยวกันในวงการลูกหนังแห่งเกาะอังกฤษมานานนับหลายทศวรรษ อย่างที่ใครๆ ก็รู้ว่า "คิงเคนนี่" เคยนำทัพ "หงส์แดง" ยิ่งใหญ่คับเกาะในช่วงปี 90 ขณะที่ตอนนั้น แมนฯ ยูไนเต็ด ยังไม่ได้มีทีมที่เกรียงไกรเท่าในปัจจุบัน


จากนั้นเมื่อลา ลิเวอร์พูล มาปั้น แบล็คเบิร์น ดัลกลิช ก็กลายเป็นหอกข้างแคร่แย่งความสำเร็จกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ของ "เซอร์ อเล็กซ์" อีกคราว


แต่หากจะย้อนไปไกลนับตั้งแต่สมัยเป็นผู้เล่น ดัลกลิช เคยเผชิญหน้ากับ เฟอร์กูสัน ในสนามครั้งแรกเมื่อปี 1969 คราวนั้น "คิงเคนนี่" ยังเป็นผู้เล่นวัยกระเตาะเริ่มสั่งสมประสบการณ์ในทีมเยาวชนของ กลาสโกว์ เซลติก ขณะที่ "เซอร์ อเล็กซ์" อยู่ในช่วงปลายของการค้าแข้ง เป็นดาวยิงตัวเก๋าของ กลาสโกว์ เรนเจอร์ส


เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อ จ็อค สตีน กุนซือคนดังของ เซลติก ตั้งใจส่งไอ้หนู ดัลกลิช ลงไปสัมผัสเกม โอลด์เฟิร์ม ดาร์บี้ ทีมสำรอง และเมื่อฝั่ง เฟอร์กี้ รู้ว่าเกมนี้ตนเองจะได้โอกาสสอนเชิงให้เด็กละอ่อน จึงไม่รีรอที่จะเข้าไปข่มตั้งแต่ก่อนเกมด้วยคำพูดว่า "คอยดูเถอะเดี๋ยวแกได้เจ็บหนักเข้าโรงหมอแน่"


ดัลกลิช ย้อนความหลังเล่าให้ฟังถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า "ตอนนั้นผมเป็นเด็กตัวใหญ่และยังเล่นเป็นเซนเตอร์แบ็ก ส่วนเขาเป็นกองหน้า ผมเคยอ่านเจอว่าเขาบอกว่ายิงประตูได้ในเกมนั้น แต่ผมคิดว่าน่าจะเป็นเราที่ชนะ 2-0 แต่ที่แน่ๆ เราเป็นฝ่ายชนะ"


"ตอนนั้นผมเพิ่งจะอายุ 18 และยังเล่นเป็นกองหลังเพราะตัวใหญ่และเล่นหนัก ส่วน เฟอร์กี้ เขาเป็นนักเตะระดับค่าเหนื่อยแพงระยับที่ เรนเจอร์ส แต่ปีก่อนหน้านั้นพวกเขาเพิ่งแพ้เราไปในนัดชิงบอลถ้วย แล้วช่วงนั้นเขาก็น่าจะใกล้จะออกจาก เรนเจอร์ส แล้วละ และผมบอกได้เลยว่า เกมนั้นเขาไม่ได้สร้างปัญหาอะไรให้ผมเลย"


สำหรับหนหลังสุดที่ ดัลกลิช คุมทีมลงเล่นพบกับทีมของ เซอร์ อเล็กซ์ นั้นเกิดขึ้นเมื่อเดือนก.ย. ปี 1990 หรือกว่า 20 ปีที่แล้ว ซึ่ง ลิเวอร์พูล เป็นฝ่ายไล่ต้อนไปถึง 4-0 ทว่ามาถึงศึกแดงเดือดในวันอาทิตย์นี้ สถานการณ์หลายสิ่งหลายอย่าง หรือแทบจะทุกๆ อย่าง เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง


และที่แน่นอนก็คือ สำหรับ ลิเวอร์พูล แล้ว ชัยชนะนัดนี้ไม่ใช่เป้าหมายเพื่อจะทำคะแนนคว้าแชมป์ลีกเหมือนเมื่อกว่า 20 ปี แต่ความสำคัญกว่านั้น คือการขัดขวางไม่ให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ก้าวไปถึงตำแหน่งแชมป์ลีกสมัยที่ 19 ขึ้นไปแทนที่ในฐานนะทีมอันดับ 1 ของอังกฤษอย่างเต็มภาคภูมินั่นต่างหาก

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
คิงเคนนี่vsเซอร์อเล็กซ์..ศักดิ์ศรีแห่งแดงเดือด โพสต์เมื่อ 6 มีนาคม 2554 เวลา 02:11:23
TOP