โอเว่น ฮาร์กรีฟส์ กองกลางกระดูกพรุนของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เปิดใจถึงความเจ็บปวดรวดร้าว ในช่วงระหว่างที่ต้องต่อสู้กับอาการบาดเจ็บ สมัยที่ยังอยู่ภายใต้สังกัด แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
กองกลางดีกรีทีมชาติอังกฤษต้องเผชิญกับชะตากรรมอย่างหนัก หลังจากย้ายมาร่วมทีม แมนฯ ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัวถึง 17 ล้านปอนด์ แต่กลับประสบปัญหาบาดเจ็บไม่เลิกราตลอดช่วง 3 ปี จนแทบหมดอนาคต และถูกปล่อยตัวจากค่าย "ปิศาจแดง" ในที่สุด
อย่างไรก็ตาม ในฤดูกาลนี้ ฮาร์กรีฟส์ มีโอกาสกลับคืนเส้นทางค้าแข้งเมื่อได้เข้ามาร่วมทีม แมนฯ ซิตี้ และล่าสุดได้กลับมาลงสนามอีกครั้ง ในเกม คาร์ลิ่ง คัพ แถมยังยิงประตูได้อีกด้วย
ดาวเตะวัย 30 ปีเล่าถึงช่วงเวลาตกต่ำตลอด 3 ปีที่ผ่านมาว่า "หลังจากผ่านฤดูกาลแรกกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ผมก็มีอาการเจ็บเอ็นร้อยหวายแต่ผมคิดว่ามันก็ไม่ได้หนักหนาอะไร หลังจากนั้นผมได้ลงเล่นแต่พอผ่านไปมันก็แย่ลงเรื่อยๆ เราพยายามรักษาแต่มันกลับยิ่งเจ็บมากขึ้น ทั้งที่ผมก็ฉีดยาไปหลายครั้ง"
ทั้งนี้ ฮาร์กรีฟส์ ระบุว่า คณะแพทย์ของ แมนฯ ยูไนเต็ด ตัดสินใจใช้วิธีรักษาด้วยการฉีดยา ซึ่งตนเองโดนจับฉีดยาครั้งแล้วครั้งเล่าจนรู้สึกเหมือนเป็นหนูทดลองแล้วผลลัพธ์ที่ออกมาก็คือทุกอย่างไม่ได้ผล ทว่าอย่างไรก็ตาม วิธีการรักษาที่ทีมแพทย์ "ปิศาจแดง" ใช้ก็ถือว่าเป็นความจำเป็นที่ต้องตัดสินใจให้ดีที่สุดสำหรับเวลานั้น
"ทุกคนดีกับผมมาก พยายามช่วยผมเต็มที่ พวกเขาบอกว่าการฉีดยามันจะช่วยได้ แต่แน่นอนเรื่องนี้มันไม่สำคัญหรอก จากอาการเจ็บร้อยหวาย มันทำให้ผมกลายเป็นเหมือนหนูทดลอง โดนจับฉีดยาจนพรุนไม่รู้จะพรุนยังไง"
"โดยพื้นฐานแล้ว ตอนนั้นผมก็อยากลงเล่น ทุกคนก็อยากให้ผมเล่น ฉะนั้นมันไม่ใช่ตัวเลือกอยู่แล้วที่จะให้ผมนั่งพักอยู่ 6 เดือน รอให้หายเองแล้วค่อยกลับมาเล่น แต่ถ้าให้ย้อนกลับมาคิดตอนนี้ บางครั้งมันก็คิดได้ว่าผมไม่น่าจะเลือกรักษาด้วยการฉีดยาเลย ผมโดนฉีดยาไปหลายครั้ง และหลังจากนั้นเอ็นร้อยหวายของผมมันก็ไม่เหมือนเดิมอีกเลย"
"หลังฉีดยา ผมพยายามจะกลับมาลงน้ำหนักที่เท้าให้ได้เหมือนเดิม แต่มันกลับรู้สึกเหมือนเหยียบลงบนเศษแก้ว นั่นแหละที่เป็นอาการรุนแรงที่สุด หลังจากนั้นผมก็ต้องต่อสู่กับอาการที่ตามมา ซึ่งมันน่าผิดหวังที่สุด ลงเอยผมก็ต้องเข้าผ่าตัด และต้องเสียเวลาไปถึง 18 เดือน"
"ตอนนั้น ผมได้แต่นั่งดูฟุตบอลและอดไม่ได้ที่อิจฉาคนอื่นๆ ที่ยังเดินยังวิ่งกันได้ตามปกติ มันฟังดูตลกมั้ยล่ะ ตอนนี้ผมก็ทึ่งเหมือนกันที่ตัวเองจะกลับมาหายเป็นปกติได้แบบนี้" ฮาร์กรีฟส์ ร่ายยาว
