
ในเกมลูกหนังแต่ไหนแต่ไรมา เราได้เห็นบรรดาสุดยอดทีมผลัดกันก้าวขึ้นมาครองความยิ่งใหญ่ในแต่ละยุคแต่ละสมัย พร้อมกับการสร้างดาราดังมาประดับวงการนับไม่ถ้วน แต่ไม่ใช่ว่าซูเปอร์สตาร์ดังจะมาแบบข้าเก่งมาคนเดียวเท่านั้น ยังมีพวกที่ดวงสมพงษ์จับคู่กันสร้างผลงานระเบิดระเบ้อ กลายเป็นตำนานเล่าขานสะท้านวงการ และนี่คือสุดยอดคู่หูฟ้าประทานแห่งโลกลูกหนัง
รวมสุดยอดคู่หูฟ้าประทานแห่งโลกลูกหนัง
ฟาบิโอ คันนาวาโร่ & อเลสซานโดร เนสต้า
แม้ คันนาวาโร่ กับ เนสต้า จะถือเป็นคู่แข่งแย่งแชมป์ในลีก เซเรีย อา กันมาตลอดหลายปี แต่สำหรับทีมชาติอิตาลี ทั้ง 2 คนคือคู่แนวรับที่เหนียวแน่นแข็งแกร่งที่สุด
คันนาวาโร่ กับ เนสต้า ลงสนามในนามทีมชาติด้วยกันครั้งแรกในเกมที่อิตาลีพบมอลโดวาในปี 1997 และยืนคู่กันในอีกหลายทัวร์นาเมนต์สำคัญ จนกระทั่้งในฟุตบอลโลก 2006 ที่เยอรมนี ในตอนนั้น เนสต้า โชคร้ายได้รับบาดเจ็บตั้งแต่ตอนลงสนามรอบแรก ทว่า คันนาวาโร่ ยังนำทีมไปต่อและไปไกลจนถึงตำแหน่งแชมป์โลก หลังจากนั้นยังก้าวไปคว้ารางวัล บัลลง ดอร์ ได้อีกด้วย
คันนาวาโร่ กลายเป็นเจ้าของสถิติลงเล่นให้ทีมชาติอิตาลีสูงสุด 136 นัด ขณะที่ เนสต้า ทำสถิติลงสนามในนามทีมชาติไป 78 นัด เชื่อว่าปราการหลังของ เอซี มิลาน น่าจะสะสมหมวกทีมชาติได้มากกว่านี้หากไม่ต้องเผชิญปัญหาบาดเจ็บหลายต่อหลายครั้ง รวมถึงเจ้าตัวยังปฏิเสธการหวนคืนทีมชาติในระหว่างช่วงปี 2006-2010 ด้วย
สำหรับ เนสต้า ในฤดูกาลนี้รักษาอาการบาดเจ็บจนลงเล่นให้ มิลาน ได้ต่อเนื่อง แต่เจ้าตัวก็ประกาศแล้วว่าจะเล่นจนถึงจบฤดูกาลนี้เท่านั้น ส่วน คันนาวาโร่ ประกาศแขวนสตั๊ดไปเรียบร้อย หลังจากการไปโกยเงินกับ อัล-อาลี ในช่วงท้ายของชีวิตค้าแข้ง
ชาบี เอร์นานเดซ & อันเดรส อีเนียสต้า
ชาบี กับ อีเนียสต้า กลายเป็นเหมือนของคู่กัน ถ้ามีคนหนึ่ง ชื่อของอีกคนก็ต้องตามมาติดๆ คู่นี้กลายเป็นตัวหลักของทีม บาร์เซโลน่า มาตั้งแต่ปี 2004 โดยนับแต่นั้นเป็นต้นมา "เจ้าบุญทุ่ม" กวาดแชมป์ลีกไป 5 สมัย, โกปา เดล เรย์ 1 สมัย, แชมป์สโมสรโลก 2 สมัย และ แชมเปี้ยนส์ ลีก 3 สมัย
นั่นยังไม่พอ ในทีมชาติสเปนทั้งคู่ก็พิสูจน์แล้วว่าเป็นหัวใจสำคัญที่พาทีมได้แชมป์ยุโรปและแชมป์โลก แม้ว่าจะมีมิดฟิลด์ชั้นดีไล่ตั้งแต่ ดาบิด อเบลด้า, มาร์กอส เซนน่า, ชาบี อลอนโซ่ หรือแม้แต่ เชส ฟาเบรกาส แต่ ชาบี กับ อีเนียสต้า คือ 2 ตัวเลือกแรกสำหรับเทรนเนอร์ทีม "กระทิงดุ" ทุกคนเสมอ
โยฮัน ครัฟฟ์ & โยฮัน นีสเก้นส์
นี่คือ 2 สุดยอดของตำนานในยุคคลาสสิคของวงการฟุตบอล ครัฟฟ์ และ นีสเก้นส์ คือสมาชิกของทีมชาติฮอลแลนด์ชุดที่ได้ชื่อว่าน่าตื่นตาตื่นใจที่สุดในประวัติศาสตร์
ครัฟฟ์ ได้ชื่อว่าเป็นผู้เล่นในตำแหน่งกองหน้า ส่วน นีสเก้นส์ ดูเหมือนจะโดดเด่นในฐานะกองกลางตัวรุกที่ถอยลงมาต่ำกว่า ทว่าในทีมชาติฮอลแลนด์ช่วงยุค 70 ลักษณะการเล่นของทั้งสองคนก็ไม่ได้จำเพาะเจาะจงตายตัวภายใต้รูปแบบของโททั่ลฟุตบอลอันลือลั่น ซึ่งนั่นเป็นผลสืบเนื่องมาจากความสำเร็จในทีม อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ด้วย
ครัฟฟ์ ประสานงานกับ นีสเก้นส์ นำ อาแจ็กซ์ เป็นเจ้ายุโรปด้วยผลงานแชมป์ ยูโรเปี้ยน คัพ 3 สมัย ส่วนผลงานกับทีมชาติ คู่หูคู่นี้นำฮอลแลนด์ลุกศึกฟุตบอลโลก 1974 ด้วยฟอร์มการเล่นสุดเกรียงไกร ไล่ปราบทั้งอาร์เจนตินาและบราซิลตกรอบไปแล้ว น่าเสียดายที่ต้องไปพ่ายต่อเจ้าภาพเยอรมันตะวันตกในรอบชิงชนะเลิศ และนั่นทำให้ทีมชาติฮอลแลนด์ชุดนั้นได้ชื่อว่าเป็นทีมที่ดีที่สุดที่ไม่ได้แชมป์โลก
หลังจากนั้น ครัฟฟ์ ย้ายจาก อาแจ็กซ์ ไปเล่นกับ บาร์เซโลน่า ในสเปน ซึ่งในเวลาต่อไป นีสเก้นส์ ก็ย้ายตามไปประสานงานด้วยกันที่ คัมป์ นู ทว่าทั้งคู่สร้างสำเร็จในสีเสื้อ "เจ้าบุญทุ่ม" ด้วยกันได้แค่ถ้วย โกปา เดล เรย์ ใบเดียวในปี 1978
ในปีเดียวกันนั้น นีสเก้นส์ ต้องนำฮอลแลนด์เดินทางไปเตะฟุตบอลโลก 1978 เพียงลำพังเพราะคู่หู ครัฟฟ์ ปฏิเสธไม่ยอมร่วมทีมไปด้วย และผลสุดท้ายทีม "ฟลายอิ้งดัตช์แมน" ก็อกหักแพ้ต่อเจ้าภาพอาร์เจนตินาได้แค่ตำแหน่งรองแชมป์อีกครั้ง
แอนดี้ โคล & ดไวท์ ยอร์ค
ย้อนกลับไปเมื่อปี 1998 แอนดี้ โคล อาจจะแอบคิดน้อยใจว่าอนาคตของตัวเองในถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด คงสิ้นสุดลงแล้ว ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ก็ช่วย แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นแชมป์ลีกมาตั้ง 2 สมัย
ในตอนนั้น เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ตัดสินใจดึง ดไวท์ ยอร์ค เข้ามาเป็นกองหน้าอีกรายในทีม และเมื่อดูถึงข้อเท็จจริงเรื่องความไม่ลงรอยกับ เท็ดดี้ เชอริงแฮม ทำให้ "คิงโคล" ก็คาดได้ว่าตัวเองกำลังจะโดนเฉดหัวทิ้ง โดยมีอดีตหัวหอก แอสตัน วิลล่า เข้ามาแทน
อย่างไรก็ตาม ความจริงที่เป็นไปในเวลาต่อมากลับกลายเป็นว่า โคล และ ยอร์ค กลายเป็นคู่หูดาวยิงที่เข้าขากันได้อย่างยอดเยี่ยมไปเลย ทั้งคู่ช่วยกันยิงกระจายนำ "ปิศาจแดง" เถลิงบัลลังก์ "เทรเบิ้ลแชมป์" เป็นประวัติศาสตร์ของวงการในฤดูกาล 1998-99
คู่มหากาฬ ยอร์ค-โคล ยังช่วยให้ แมนฯ ยูไนเต็ด คว้าถ้วย พรีเมียร์ลีก มาครองได้อีก 2 สมัย ก่อนที่จะหมดไฟแยกย้ายกันไปจากทีม ทว่าทั้งคู่ก็ยังได้หวนกลับไปร่วมงานกันอีกครั้งเป็นเวลาสั้นๆ ที่ แบล็คเบิร์น ด้วย
โชเซ่ มูรินโญ่ & ริคาร์โด้ คาร์วัลโญ่
คู่นี้ไม่ได้เป็นคู่หูประสานแข้งกันในสนาม แต่ก็ถือเป็นโค้ชและนักเตะคู่บารมีที่สร้างชื่อร่วมกันมาในรอบ 10 ปีหลัง
ริคกี้ คาร์วัลโญ่ เริ่มสร้างชื่อในทีมชุดใหญ่ของ ปอร์โต้ ในปี 2002 ซึ่งเป็นช่วงที่ มูรินโญ่ เข้ามาคุมทีม ความสำเร็จแรกร่วมกันของ 2 คนนี้ก็คือการนำทีมคว้าแชมป์ ซูเปอร์ลีกา และ ยูฟ่า คัพ ในปี 2003 และตามต่อมาด้วยปรากฏการณ์หักปากกาเซียน ที่ ปอร์โต้ คว้าแชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก ในปี 2004
หลังจากนั้น ทั้ง มูรินโญ่ และ คาร์วัลโญ่ รวมถึง ผู้เล่น ปอร์โต้ ยกชุด ก็กลายเป็นดาวเด่นของยุโรป ทั้งคู่หนีบกันมาปฏิวัติทีม เชลซี จนกลายเป็นสุดยอดทีมของอังกฤษ ภายใต้อำนาจเงินของ "เสี่ยหมี" โรมันอบราโมวิช เชลซี ของ มูรินโญ่ และ คาร์วัลโญ่ กวาดแชมป์ พรีเมียร์ลีก 2 สมัย, เอฟเอ คัพ, คาร์ลิ่ง คัพ 2 สมัย ก่อนที่เทรนเนอร์จอมไซโคจะแยกทางไปสร้างความสำเร็จกับ อินเตอร์ มิลาน
ให้หลังเพียงไม่กี่ปี มูรินโญ่ ได้เข้ามานั่งตำแหน่งเทรนเนอร์ เรอัล มาดริด และไม่ได้รอช้าที่จะดึงตัว คาร์วัลโญ่ มาจาก เชลซี ซึ่งในฤดูกาลนี้ ทั้งคู่ก็กำลังมีโอกาสสูงมากที่จะคว้าแชมป์ ลา ลีกา ร่วมกันอีก