ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีก่อน วันที่ 2 กรกฎาคม 2003 โรมัน อบราโมวิช ในฐานะมหาเศรษฐีนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงจากรัสเซีย ได้เข้าครอบครองกิจการ สโมสรฟุตบอลเชลซี ต่อจาก เคน เบตส์
ในเวลานั้นคงไม่มีใครนึกภาพออกอย่างชัดเจนพอ ว่านั่นคือจุดเริ่มต้นที่ก่อให้เกิดความสั่นสะเทือนต่อวงการลูกหนังอังกฤษครั้งใหญ่
ในห้วงเวลาที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กำลังนำพลพรรคนักเตะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สั่งสมความสำเร็จอย่างเมามัน ขณะที่ อาร์เซน่อล ของ อาร์แซน เวนเกอร์ ดูเหมือนจะอ่อนกำลังลง อบราโมวิช กลายเป็นผู้ที่มาปฏิวัติ เชลซี ให้กลายเป็นคู่ต่อกรที่น่าเกรงขามของ "ปิศาจแดง" ด้วยการทุ่มเงินแบบไร้ขีดจำกัดซื้อผู้เล่นดาวดังมากมายเข้ามาเสริมทีมแบบที่ไม่เคยมีใครคิดว่าจะเกิดขึ้น
เพียงแค่ช่วงซัมเมอร์แรกหลังจากเข้าดำรงตำแหน่ง มหาเศรษฐีจากรัสเซียทุ่มเงินสนับสนุนให้ เชลซี สำหรับการซื้อนักเตะใหม่ไม่น้อยกว่า 150 ล้านปอนด์ โดยเหล่าดาราระดับโลกชุดแรกที่พาเหรดกันมาสวมชุด "สิงโตน้ำเงินคราม" ในปีนั้นก็มีมั้ง เอร์นาน เครสโป ฮวน เซบาสเตียน เวรอน และ โคล้ด มาเกเลเล่
นับจากนั้นเป็นต้นมา เหล่าดาวดังระดับเวิลด์คลาสไม่เว้นแม้แต่ยอดกุนซืออันดับต้นๆ ของโลก ต่างผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งภายใต้ชายคา สแตมฟอร์ด บริดจ์ และเมื่อนับช่วงสมัยของ อบราโมวิช หลังจากผ่านไปแล้ว 1 ทศวรรษ เชลซี ประสบความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยม คว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก 3 ครั้ง, เอฟเอ คัพ 4 ครั้ง, ลีกคัพ 2 ครั้ง รวมทั้ง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก กับ ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก
ด้วยงบประมาณค่าตัวรวมแล้วกว่า 874 ล้านปอนด์ บวกกับเงินในส่วนของค่าเหนื่อยอีก 1.5 พันล้านปอนด์ นี่คือ การเซ็นสัญญาที่ดีและแย่ที่สุดของ เชลซี ในยุคจักรวรรดิอบราโมวิช
5 การเซ็นสัญญายอดเยี่ยม
1 โชเซ่ มูรินโญ่
แม้จะเป็นผู้จัดการทีมที่ไม่ใช่กรณีของการเซ็นสัญญาซื้อผู้เล่น แต่คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า หากไม่มี โชเซ่ มูรินโญ่ คนนี้ เส้นทางความสำเร็จของ เชลซี ก็อาจจะไม่ได้เดินมาถึงในจุดที่เป็นอยู่
หลังจากคว้าแชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก กับ ปอร์โต้ มูรินโญ่ เข้ามารับตำแหน่งแทนที่ เคลาดิโอ รานิเอรี่ในเดือน มิถุนายน 2004 และสามารถนำ เชลซี คว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก กับ ลีกคัพ ในฤดูกาลแรก กุนซือจอมไซโคยังนำทีมสร้างความสำเร็จต่อเนื่องด้วยการป้องกันแชมป์ลีก และได้แชมป์ เอฟเอ คัพ ก่อนจะอำลา "สิงห์บลูส์" ไปในเดือนกันยายน 2007
มูรินโญ่ กำลังจะกลับมาเริ่มต้นประวัติศาสตร์สมัยที่ 2 กับ เชลซี ซึ่งแฟนๆ "สิงโตน้ำเงินคราม" ก็หวังอย่างยิ่งว่าทุกอย่างจะเป็นไปแบบเดิมอีกครั้ง
2 ดิดิเยร์ ดร็อกบา
ดร็อกบา ย้ายมาจาก โอลิมปิก มาร์กเซย เมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2004 ด้วยค่าตัวถึง 24 ล้านปอนด์ และหลังจากใช้เวลาปรับตัวไม่นาน "ไอ้แมลงสาบ" ก็เปิดสกอร์แรกในสีเสื้อ เชลซี ในการลงเล่นเกมอย่างเป็นทางการนัดที่ 3 ด้วยการโขกพังประตู คริสตัล พาเลซ
ดาวยิงทีมชาติไอวอรีโคสต์พิสูจน์ตัวเองจนก้าวมาเป็นดาวยิงที่แฟน เชลซี รักมากที่สุด และหลังจากช่วยทีมได้แชมป์ พรีเมียร์ลีก 3 สมัย, เอฟเอ คัพ 4 สมัย, ลีกคัพ 2 สมัย กับ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ อีก 2 สมัย ดร็อกบา ก็ฝากชื่อไว้ด้วยการนำทีมสร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก โดยเป็นคนซัดจุดโทษลูกสุดท้ายให้ทีมชนะ บาเยิร์น มิวนิค ในเกมแห่งความทรงจำ
3 โคล้ด มาเกเลเล่
ตอนที่ มาเกเลเล่ มาร่วมทีม เชลซี เมื่อปี 2003 รานิเอรี่ กุนซือในตอนนั้นบอกว่า "ผมมีนาฬิกาชั้นดี มันทำงานด้วยแบตเตอรี่ และ โคล้ด คือแบตเตอรี่ก้อนใหม่ของผม โคล้ด สำคัญมากกับอนาคตของ เชลซี เขาคือ เพลย์เมคเกอร์ ยอดเยี่ยมที่สุด"
คำพูดของ รานิเอรี่ ในตอนนั้นทำให้หลายๆ คนเคยหัวเราะที่กุนซือชาวอิตาลีบอกว่า มาเกเลเล่ เล่นในตำแหน่งเพลย์เมคเกอร์ แต่เมื่อเวลาผ่านไป กลายเป็นว่าคำพูดของ รานิเอรี่ อาจจะไม่ได้ผิดเพี้ยนไปจากความจริงก็ได้
กองกลางทีมชาติฝรั่งเศสเข้ามาทำให้แผงกลางของ เชลซี แข็งแกร่งแน่นปึ้ก และเจ้าตัวยิ่งกลายเป็นตัวจักรที่สำคัญขึ้นไปอีกเมื่อเข้าสู่ยุคของ มูรินโญ่
มาเกเลเล่ ฝากผลงานไว้ด้วยแชมป์ลีก 2 สมัย เอฟเอ คัพ 1 สมัย และ ลีกคัพ 2 สมัย ก่อนย้ายกลับไปเล่นให้ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ในบ้านเกิดในปี 2008
4 แอชลี่ย์ โคล
หลังออกจาก อาร์เซน่อล มาเมื่อปี 2006 พร้อมกับการถูกตราหน้าเป็น "ไอ้คนเห็นแก่เงิน" โคล ก็รู้ดีว่าทางเดียวที่จะพิสูจน์ตัวเองเอาชนะเสียงก่นด่านั้นได้ ก็คือช่วยทีมใหม่คว้าแชมป์ให้ได้มากที่สุด
โคล ถือว่าประสบความสำเร็จระดับสูงกับ อาร์เซน่อล มาแล้วในการคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก กับ 3 ถ้วย เอฟเอ คัพ แต่ในสีเสื้อ เชลซี แบ็กจอมขบถทีมชาติอังกฤษสามารถต่อยอดความสำเร็จให้ตัวเอง ด้วยแชมป์ คาร์ลิ่ง คัพ, แชมเปี้ยนส์ ลีก และ ยูโรป้า ลีก
ในฤดูกาลนี้ โคล ต่อสัญญากับ เชลซี ต่อไปอีก 1 ปี และจะได้ร่วมงานกับ มูรินโญ่ อีกครั้ง
5 ฆวน มาต้า
แม้จะเป็นหนึ่งในสตาร์ยุคใหม่ที่เพิ่งย้ายมาร่วมทีม เชลซี ได้ไม่นาน แต่ผลงานที่ ฆวน มาต้า แสดงออกมาก็ทำให้มั่นใจได้เลยว่า เพลย์เมคเกอร์กระทิงดุรายนี้คืออนาคตของ "สิงโตน้ำเงินคราม"
มาต้า ย้ายจาก บาเลนเซีย เมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2011 ด้วยค่าตัว 23.5 ล้านปอนด์ และอีก 10 เดือนต่อมาเจ้าตัวก็ถูกเลือกให้เป็นผู้เล่นแห่งปีของสโมสร หลังจากเป็นกุญแจสำคัญในทีมของ โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ ที่ก้าวไปคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ กับ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
ฤดูกาลที่ผ่านมา มาต้า ซึ่งถูกยกไปเทียบกับ จานฟรานโก้ โซล่า ยังทำผลงานยอดเยี่ยมนำทีมคว้าแชมป์ ยูโรป้า ลีก ได้อีกด้วย
5 การเซ็นสัญญายอดแย่
1 ฮวน เซบาสเตียน เวรอน
หลังจากได้ชื่อว่ามีช่วงเวลาที่ล้มเหลวกับ แมนฯ ยูไนเต็ด การมาร่วมทีม เชลซี เมื่อปี 2003 ด้วยค่าตัว 15 ล้านปอนด์ของ ฮวน เวรอน น่าจะเรียกได้ว่าแย่ยิ่งกว่าเสียอีก
ในตอนนั้น เวรอน ต้องการอยู่กับ แมนฯ ยูไนเต็ด ต่อไปแต่ถูกบีบให้ย้ายเพราะกลายเป็นส่วนเกินของทีม ซึ่งการได้มาเล่นกับ เชลซี ก็ถือว่าเป็นโอกาสดีที่จะได้พิสูจน์ตัวเองในลีกอังกฤษอีกครั้ง
กองกลางจอมชั้นเชิงทีมชาติอาร์เจนตินาเปิดตัวในฐานะนักเตะ "สิงห์บลูส์" ได้ยอดเยี่ยมด้วยการยิงประตูแรกให้ทีมชนะ ลิเวอร์พูล 2-1 ที่ แอนฟิลด์ แต่หลังจากนั้นเจ้าตัวมีปัญหาบาดเจ็บจนทำให้มีโอกาสลงเล่นกับ เชลซี รวมแล้วแค่ 15 นัดเท่านั้น
เมื่อ มูรินโญ่ เข้ามาคุมทีม เวรอน ถูกส่งไปให้ อินเตอร์ มิลาน ยืมตัว และไม่ได้กลับมาที่ เชลซี อีกเลย
2 อังเดร เชฟเชนโก้
เชฟเชนโก้ มาร่วมทีม เชลซี ในปี 2006 ในฐานะหนึ่งในดาวยิงที่ดีที่สุดของยุโรปที่มีค่าตัวถึง 30 ล้านปอนด์
ใครๆ ก็เห็นว่าสมัยเล่นให้ มิลาน เชฟเชนโก้ ยิงระเบิดเถิดเทิง ทำประตูเป็นว่าเล่น และนั่นกลายเป็นความคาดหวังว่าดาวยิงทีมชาติยูเครนจะเข้ามาเป็นอาวุธร้ายแรงในแนวรุก เชลซี
อย่างไรก็ตาม ชีวิตจริงกลับไม่สวยหรูเหมือนในละคร สิ่งที่ปรากฏในเวลาต่อมาคือ เชฟเชนโก้ เป็นการเซ็นสัญญาโดย อบราโมวิช แต่ไม่ใช่คนที่ มูรินโญ่ ต้องการ ปัญหาสารพัดเกินกว่าจะยกมาอธิบายได้หมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องฟอร์มตก ความกดดัน อาการบาดเจ็บ ทั้งหลายทั้งปวง ทำให้แสงแห่งความเจิดจรัสของ เชฟเชนโก้ ค่อยๆ ดับวูบลงที่ เชลซี
และยิ่งมาเจอกับฟอร์มร้อนแรงไม่มียุบของ ดร็อกบา ด้วยแล้ว เชฟเชนโก้ ก็ไม่รู้จะหาที่ยืนตรงไหนในทีม เชลซี เจ้าตัวถูกส่งกลับไปให้ มิลาน ยืมใช้งานเป็นเวลาสั้น ก่อนจะลาทีมไปอย่างถาวร กลับไปเล่นให้ ดินาโม เคียฟ ในปี 2009
3 ฌอน ไรท์-ฟิลลิปส์
หากจะมองด้วยความยุติธรรมแล้ว ความล้มเหลวของ ไรท์-ฟิลลิปส์ มาจากการที่เจ้าตัวขาดโอกาสได้แสดงผลงานมากกว่าเป็นเพราะเรื่องความสามารถ
ปีกร่างจิ๋วทีมชาติอังกฤษ ย้ายจาก แมนฯ ซิตี้ ด้วยค่าตัวถึง 21 ล้านปอนด์ในปี 2005 แต่เป็นที่นินทากันว่าเหตุที่ เชลซี ยอมควักเงินจ่ายขนาดนี้ เพราะจงใจจะตัดหน้ากันท่าคู่แข่งร่วมเมืองอย่าง อาร์เซน่อล มากกว่า
แม้จะไม่มีโอกาสได้เล่นเป็นตัวจริงอย่างสม่ำเสมอ แต่ ไรท์-ฟิลลิปส์ ก็ก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ตัวสำรองอดทนของตัวเองได้เป็นอย่างดี จนกระทั่งในปี 2008 ก็โดนขายกลับไปให้ แมนฯ ซิตี้ ด้วยราคาขาดทุนถึงครึ่งหนึ่ง
4 อาเดรียน มูตู
มูตู มาร่วมทีม เชลซี ในเดือนสิงหาคม ปี 2003 โดย "เสี่ยหมี" อบราโมวิช ยอมควักเงินจ่ายซื้อมาจาก ปาร์ม่า ในราคา 15.8 ล้านปอนด์
ในช่วงแรกๆ กองหน้าทีมชาติโรมาเนียสร้างผลงานกระหึ่มสุดๆ ซัดไป 4 ประตูจาก 3 นัด และดูเหมือนเส้นทางการค้าแข้งกับ เชลซี จะสดใสเรืองรอง ทว่าพอเข้าสู่ยุคของ มูรินโญ่ ไม่รู้ มูตู ไปทำอีท่าไหนให้กุนซือจอมเฮี้ยบข้องใจจนทั้งคู่มีปัญหากัน ที่สุดแล้ว "เดอะ สเปเชี่ยล วัน" ดูเหมือนจะเป็นฝ่ายตัดสินใจถูก เพราะต่อมาในเดือนกันยายน 2004 ดาวยิงรายนี้ก็ถูกตรวจพบว่าใช้ยาเสพติด จนโดน เอฟเอ ลงโทษแบน 8 นัด ขณะที่ เชลซี จัดการตะเพิดพ้นสโมสรทันที
5 มาเตย่า เคซมัน
ชื่อเสียงของ เคซมัน เป็นที่เลื่องลืออย่างมากหลังทำผลงานร้อนแรงกับการเล่นให้ พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น ในฮอลแลนด์ และตอนที่ย้ายมาอยู่ เชลซี เมื่อเดือนกรกฎาคม 2004 ใครๆ ก็คิดว่า ดาวยิงเซิร์บ จะเป็นตัวหลักของทีมภายใต้การคุมทัพของ มูรินโญ่
แต่นี่เป็นอีกครั้งที่ชีวิตจริงไม่เหมือนในละคร เคซมัน ดูเหมือนจะมีปัญหาจากการถูกคาดหวังมากเกินไป ทำให้ยิงได้แค่ 7 ประตูจากการลงเล่น 40 นัด และหลังจากช่วงฤดูกาลเดียวก็ถูก เชลซี ปล่อยตัวไปอยู่กับ แอตเลติโก มาดริด
เนื้อหาจาก www.thesun.co.uk