ภาพ AFP
โชเซ่ มูรินโญ่ ผู้จัดการทีม เชลซี แสดงให้เห็นตามที่พูดว่า หากมีความเชื่อทุกอย่างก็เป็นไปได้ และในเมื่อผ่านเข้าไปเป็น 1 ใน 4 ทีมสุดท้ายของ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แล้ว หลังจากนี้อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น
พลพรรค "สิงโตน้ำเงินคราม" งัดฟอร์มเอาชนะ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง 2-0 ในเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบก่อนรองชนะเลิศ นัดที่ 2 เมื่อคืนวันอังคารที่ 8 เมษายน ที่ผ่านมา พลิกสถานการณ์ผ่านเข้าสู่รองชนะเลิศ ได้สำเร็จด้วยกฎอเวย์โกล์หลังจากผลสองนัดเสมอกัน 3-3
หลังจบเกม มูรินโญ่ กล่าวด้วยความมั่นใจว่า "อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น เรามีคู่แข่งที่น่ากลัวรออยู่ในรอบตัดเชือก แต่ผมไม่คิดว่ามันสำคัญอะไรแล้วละว่าเราจะเจอใคร ทุกทีมต่างก็รู้ว่าเราคือทีมที่มีสุดยอดสปิริต ถึงแม้เราจะไม่ได้อยู่ในฟอร์มสุดยอดก็ตาม"
"เราโชคดี เพราะเราได้สกอร์อย่างที่เราต้องการ แต่ถึงแม้ว่าหากเรายิงลูกที่ 2 ไม่ได้ หรือว่าพวกเขาได้ประตูจากลูกเตะมุมครั้งสุดท้ายแล้วเขี่ยเราตกรอบ ผมว่าทุกคนในสโมสรก็ยังคงจะภูมิใจกับสิ่งที่ลูกทีมผมได้ทำ"
ในเกมนี้หลังจาก เชลซี ได้ประตูที่ 2 จาก ในช่วงท้ายเกม มูรินโญ่ ถึงกับวิ่งจากซุ้มม้านั่งไปหาลูกทีมที่มุมธง เหมือนกับที่เคยทำเมื่อปี 2004 ตอนที่นำ ปอร์โต้ บุกมาเล่นกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ก่อนจะผ่าน "ปิศาจแดง" เดินหน้าไปถึงตำแหน่งแชมป์
อย่างไรก็ตาม มูรินโญ่ ระบุว่า "เปล่า ผมไม่ได้วิ่งไปดีใจ ผมวิ่งไปบอกลูกทีมว่าจะเล่นอย่างไรในช่วงเวลาไม่กี่นาทีที่เหลือ ผมรู้ว่าตอนนั้นลูกทีมกำลังดีใจและอาจจะคิดไปว่าเกมจบแล้ว พวกเขาลืมกันไปมันยังเหลืออีก 3 นาทีบวกกับทดเวลาเจ็บอีก 3 หรือ 4 นาที และถ้าเรายังเล่นแบบเดิมเราคงยันสกอร์ 2-0 ไว้ไม่ได้"
"ผมต้องวิ่งไปตรงนั้น เพราะผมจะได้คุยกับ เดมบ้า, เฟร์นานโด (ตอร์เรส), แล้วก็ เชือร์เร่ ว่าพวกเขาต้องทำอะไรในช่วง 7 นาทีสุดท้าย แต่คุณก็เห็นแล้วนี่ว่าผมยังวิ่งไหว" มูรินโญ่ กล่าวทิ้งท้าย
