
ภาพ AFP
ฟุตบอลโลก 2014 เป็นอีกครั้งที่ พลพรรค "สิงโตคำราม" อังกฤษ ต้องอกหักปิดฉากพร้อมกับความล้มเหลว และคราวนี้ดูเหมือนจะเป็นการเก็บกระเป๋ากลับบ้านเร็วกว่ากำหนดซะด้วย เพราะทีมแพ้ในการลงสนาม 2 เกมแรก แล้วก็รู้ชะตากรรมเลย
อังกฤษแพ้ต่ออิตาลีในเกมแรก 1-2 ตามต่อด้วยการโดนอุรุกวัยซ้ำแผลด้วยสกอร์เดิม ซึ่งคนที่ยิง 2 ลูกให้ทีม "จอมโหด" ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็น หลุยส์ ซัวเรซ ดาวยิงจาก ลิเวอร์พูล เจ้าของตำแหน่งดาวซัลโว พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาลที่ผ่านมานี่เอง
ความจริงไม่ถือว่าเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายที่ อังกฤษ จะโดน ซัวเรซ สอยตาข่ายเอาแบบนี้ เพราะตั้งแต่ผลการจับสลากแบ่งกลุ่มออกมา ใครๆ ก็รู้กันอยู่แล้วว่า ดาวยิงฟันเยอะจาก "หงส์แดง" นี่แหละที่จะมาเป็นตัวอันตราย ทว่าถ้าย้อนไปดูทั้งสองลูกที่ ซัวเรซ บรรจงโขก และกดเต็มข้อแบบยัดไส้เข้าไป แฟนบอล "สิงโตคำราม" ก็คงรู้สึกเหมือนกันว่ามันช่างแสบสันต์จริงๆ
แน่นอนเลยว่า ซัวเรซ ไม่ใช่คนแรกที่ทำให้ทำให้แฟนทีมชาติอังกฤษ ต้องเจ็บช้ำใจ เพราะในอดีต "สิงโตคำราม" เคยเจอกับดาวเตะหลายรายปล่อยของใส่ งัดทีเด็ดมาเล่นงานจนน้ำตาตกในอย่างนี้มานักต่อนักแล้ว
1986 ตำนานหัตถ์พระเจ้า - อาร์เจนตินา 2-1 อังกฤษ (รอบ 8 ทีมสุดท้าย)
ศึก เวิลด์ คัพ 1986 ที่เม็กซิโก น่าจะเป็นหนึ่งในทัวร์นาเมนต์ที่อังกฤษเจ็บแสบที่สุด จากการตกรอบด้วยน้ำมือของ ดีเอโก้ มาราโดน่า ตำนานทีมชาติอาร์เจนตินา ที่นำทีม "ฟ้า-ขาว" คว้าชัยเหนือ "สิงโตคำราม" 2-1 ในเกมรอบ 8 ทีมสุดท้าย โดยที่ลูกแรก "เสือเตี้ย" ใช้มือปัดบอลเข้าประตูจนกลายเป็นตำนาน "หัตถ์พระเจ้า" หนึ่งในเหตุการณ์ที่โด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลก
อย่างไรก็ตาม ประตูที่ 2 ของ มาราโดน่า ในเกมนี้คงทำให้ทุกคนต้องยอมรับเมื่อ "เดอะเตี้ย" โชว์โซโล่เดี่ยวแหวกผู้เล่นทีมชาติอังกฤษเกือบครึ่งทีมรวมผู้รักษาประตู ปีเตอร์ ชิลตัน เข้าไปซัดไปเหลือ และลูกนี้ถูกยกให้เป็นประตูที่ดีที่สุดตลอดกาลของฟุตบอลโลก
2002 ฟรีคิกปลิดวิญญาณของเดอะเหยิน - บราซิล 2-1 อังกฤษ (รอบ 8 ทีมสุดท้าย)
อังกฤษชุดนี้มาลุยบอลโลกที่เอเชีย ด้วยความหวังสูงสุดในรอบหลายๆ ปี ทีมอยู่ในยุคที่ถูกยกให้เป็น "โกลเด้นเจนเนอเรชั่น" มีดาวดังที่เป็นตัวท็อปเกือบทุกตำแหน่ง ไล่ตั้งแต่ ริโอ เฟอร์ดินานด์, พอล สโคลส์, เดวิด เบ็คแฮม และ ไมเคิ่ล โอเว่น
พลพรรค "ทรี ไลอ้อนส์" สู้กับ "แซมบ้า" บราซิล ได้อย่างไม่น่าเกลียด และขึ้นนำไปก่อนด้วยซ้ำ ก่อนจะมาโดน ริวัลโด้ ซัดตีเสมอในช่วงก่อนหมดครึ่งแรก แต่ความแสบสันต์สุดๆ มาจากฟรีคิกของ โรนัลดินโญ่ ที่อยู่ๆ ก็ซัดไกลเกือบ 40 หลา ข้ามหัว เดวิด ซีแมน เข้าไปหน้าตาเฉย
2006 ริคาร์โด้ จอมหนึบ - อังกฤษ 0-0 โปรตุเกส (จุดโทษ 1-3) (รอบ 8 ทีมสุดท้าย)
อังกฤษฝ่าด่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายได้อย่างสวยหรู คว้าแชมป์กลุ่มในรอบแรก เอาชนะ เอกวาดอร์ ในรอบ 2 และ มาเจอกับ โปรตุเกส ในรอบก่อนรองชนะเลิศ ซึ่งไฮไลต์ คือการปะทะกันของสองคู่หูจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เวย์น รูนี่ย์ กับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้
แต่พระเอกตัวจริงของเกมนี้โผล่มาเมื่อเกมถึงตอนจบ ทั้งสองทีมกินกันไม่ลงเสมอกัน 0-0 จนต้องไปตัดสินกันในการดวลจุดโทษ และก็เป็น ริคาร์โด้ มือกาวของ "ฝอยทอง" ที่งัดฟอร์มถูกที่ถูกเวลา เซฟลูกยิงของฝั่งอังกฤษถึง 3 ชอต จากการยิงของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด, สตีเว่น เจอร์ราร์ด และ เจมี่ คาร์ราเกอร์
2010 ไอ้หนูมุลเลอร์แผลงฤทธิ์ - เยอรมนี 4-1 อังกฤษ (รอบ 16 ทีมสุดท้าย)
"อินทรีเหล็ก" ชุดยังเติร์กของ โยอาคิม เลิฟ มาด้วยฟอร์มเหนือกว่าอยู่แล้ว และขึ้นนำอังกฤษไปก่อน 2-1 ในครึ่งแรก ทว่ามาถึงครึ่งหลัง "สิงโตคำราม" ก็หมดสิทธิ์ที่จะฮึดสู้ เมื่อมาเจอกับฟอร์มร้อนแรงของไอ้หนู โธมัส มุลเลอร์ ซัด 2 ประตูซ้อนในช่วง 4 นาที