
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สโมสรยักษ์ใหญ่แห่ง พรีเมียร์ลีก อังกฤษ กำลังเริ่มต้นเดินหน้าสู่ฤดูกาลใหม่ภายใต้ยุคของ หลุยส์ ฟาน กัล ยอดเทรนเนอร์ชาวดัตช์
ฟาน กัล มาถึงยัง โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด พร้อมกับความหวังของเหล่า "ปิศาจแดง" ที่จะเห็นเทรนเนอร์ชาวดัตช์ผู้นี้เข้ามากอบกู้ทีมให้กลับไปยิ่งใหญ่เกรียงไกรอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากได้เห็นผลงานสดๆ ร้อนๆ ในการนำทีมชาติฮอลแลนด์ คว้าอันดับ 3 ใน ฟุตบอลโลก 2014
ฝีไม้ลายมือของ ฟาน กัล เป็นเรื่องที่ไม่ต้องมาถกเถียงกันอีกแล้ว เมื่อดูจากผลงานที่สั่งสมมาตลอดช่วงเวลากว่า 20 ปีในการทำงานโค้ช แต่ด้วยแนวทางการทำงานที่มีปรัชญาชัดเจน รวมทั้งบุคลิกแข็งกร้าว เด็ดขาด ทำให้เบื้องหลังความสำเร็จของกุนซือผู้นี้ มีเรื่องราวความบาดหมาง เป็นการสร้างศัตรูคู่ปรับไว้ไม่น้อยเช่นกัน
ในการแถลงข่าวที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ครั้งแรก ฟาน กัล ย้ำว่าตัวเองมีความเป็นนักประชาธิปไตยมากกว่าเป็นเผด็จการอย่างที่หลายคนมองกัน แต่เรื่องราวเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้อาจจะสะท้อนให้เห็นได้ว่า หลังจากนี้ไปกำลังจะเกิดอะไรขึ้นบ้างที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด
เป็นจอมหัวแข็งตั้งแต่สมัยเล่นฟุตบอล
หลุยส์ ฟาน กัล คือคนที่มั่นใจในตัวเองสูงมากซึ่งนั่นมาพร้อมกับบุคลิกอันแข็งกร้าว มันเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่สมัยยังเป็นนักฟุตบอลด้วยซ้ำ
ในสมัยที่เริ่มสร้างชื่อกับ รอยัล อันทเวิร์ป ฟาน กัล ได้ร่วมงานกับ กีย์ ไธส์ โค้ชระดับตำนานของ เบลเยียม และแน่นอนว่ากองกลางจากแดนกังหันลมในตอนนั้นไม่ค่อยจะกินเส้นกับเจ้านายของตัวเอง
ฟาน กัล เคยเล่าให้ฟังถึงประสบการณ์ช่วงนั้นว่า "ผมรำคาญมากเวลาที่เขาไม่ยอมให้ผมลงเล่น ผมเป็น 1 ใน 4 ผู้เล่นต่างชาติ ซึ่งตอนนั้นทีมสามารถให้ตัวต่างชาติลงสนามได้ 3 คน ไธส์ หาว่าผมเล่นช้าเกินไป"
ด้าน ไธส์ ก็เคยตอบถึงเรื่องความหลังว่า "เขามักจะเข้ามาถามผมตรงๆ ว่า ทำไมไม่ให้เขาเล่น "เจ้านาย ผมเจ๋งที่สุดไม่ใช่เหรอ ทำไมผมไม่ได้เล่น?" ซึ่งผมก็ต้องบอกเขาไปว่าเขาไม่ได้เจ๋งกว่าใครเลยแล้วเขาก็ไม่ยอมเชื่อ ผมยอมรับเลยนะว่าเท่าที่เคยเจอนักฟุตบอลมามากมายเขานี่แหละที่หัวแข็งกว่าใคร แต่ก็ต้องเสียใจด้วยเพราะเขาเล่นบอลช้ามาก"
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเจ้านายกับลูกน้องคู่นี้จบกันแบบไม่สวยแน่ โดย ฟาน กัล เผยถึงตอนที่จะย้ายออกจาก อันทเวิร์ป ว่า "ผมเขียนจดหมายไปขอทำงานกับสโมสรอื่นถึง 80 ฉบับ มีแค่ 2 ทีมที่ตอบกลับมา แต่ยังไงผมก็ได้ย้ายทีม"
"ไธส์ พยายามขวางไม่ให้ผมย้ายด้วยการเรียกค่าตัวผม ผมก็บอกเขาไปว่าอยากทำอะไรก็ทำไปเถอะ แต่ถ้าอย่างนั้นผมจะกลับไปทำงานเป็นครูพลศึกษา สรุปแล้วมันมีแต่เสียกับเสีย พวกเขาก็เลยปล่อยผมย้ายทีม" ฟาน กัล กล่าว
ริวัลโด้ ที่กำลังเป็นเบอร์ 1 ของโลกในตอนนั้นก็ต้องพบกับจุดตกต่ำเมื่อกล้าหือกับ ฟาน กัล
ไม่แคร์แม้แต่นักเตะที่เก่งที่สุดในโลก
ในปี 1999 ฟาน กัล คุมทีม บาร์เซโลน่า และ ริวัลโด้ ตำนานแข้งชาวบราซิเลียน อยู่ในช่วงท็อปพีคสุดๆ เจ้า "นิเชา" ที่ตอนนั้นยืนประจำการในตำแหน่งตัวรุกริมเส้นด้านซ้าย นำ "บาร์ซ่า" คว้าแชมป์ลีกได้ 2 สมัยติด และเพิ่งได้รางวัลนักฟุตบอลแห่งปีของ ฟีฟ่า มาครองด้วย
เบาเดอไวจ์ เซนเด้น ซึ่งเป็นสมาชิก บาร์เซโลน่า ในชุดนั้น เล่าให้ฟังถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า "ริวัลโด้ คิดว่าเขาน่าจะได้เปลี่ยนไปเล่นในตำแหน่งตัวรุกหลังคู่กองหน้า แล้วพอหลังจากเขาได้ บัลลง ดอร์ ก็เลยไปพูดกับ ฟาน กัล ตรงๆ ว่า "ผมไม่อยากเล่นปีกซ้ายแล้ว ผมอยากยืนหลังคู่กองหน้า" ฟาน กัล ก็ตอบกลับมาเลย "ก็ได้ นายพูดเองนะ" หลังจากนั้นก็เป็นอันว่า ริวัลโด้ ก็โดนจับนั่งเป็นตัวสำรอง ด้วยข้อหาว่าคนที่เป็นเทรนเนอร์เท่านั้นที่มีหน้าที่ตัดสินใจจะให้ใครเล่นตรงไหน"
แม้ ริวัลโด้ จะได้กลับมาเป็นตัวจริงในเวลาไม่นาน แต่ผลงานที่เห็นชัดเจนคือเขายิงได้แค่ 12 ประตูในลีก ทั้งที่ฤดูกาลก่อนหน้านั้นเคยยิงถึง 24 ลูก สรุปว่าจบซีซั่น บาร์ซ่า เสียแชมป์ ลา ลีกา และ ฟาน กัล ก็ออกจากทีมไป
ที่ไหนมี โยฮัน ครัฟฟ์ ที่นั่น ไม่มี ฟาน กัล
ต่อให้เป็นเทวดาก็ไม่ไว้หน้า
ประชาชนพลเมืองชาวดัตช์อาจมีความคิดแตกแยกแบ่งเป็น 2 ฝัก 2 ฝ่าย พวกหนึ่งเทิดทูน โยฮัน ครัฟฟ์ อดีต "นักเตะเทวดา" ส่วนอีกพวกชื่นชอบ ฟาน กัล มากกว่า
ทั้งสองคนได้ชื่อว่าไม่เคยจะลงรอยกัน คนหนึ่งคือตำนานยอดนักเตะระดับโลก ที่ผันตัวเองมาสู่ยอดเทรนเนอร์ อีกคนหนึ่งคืออดีตนักฟุตบอลธรรมดาๆ ที่ต่อมากลายเป็นสุดยอดโค้ชระดับเวิลด์คลาส
สำหรับ ครัฟฟ์ แล้วเรื่องหนึ่งที่ทำให้รู้สึกเซ็งอารมณ์อยู่ลึกๆ ย่อมเป็นการที่ ฟาน กัล เดินตามรอยความสำเร็จของตัวเองทั้งที่ อาแจ็กซ์ และ บาร์เซโลน่า อดีตฮีโร่ของทีม "อัศวินสีส้ม" ทั้งคู่บาดหมางกันด้วยเรื่องส่วนตัวมาตั้งแต่สมัยไหนก็มิอาจทราบได้ แต่ก็มีการตอบโต้กันผ่านสื่อให้เห็นประปราย และความไม่ชอบขี้หน้ากันก็มาชัดเจนขึ้นตอนที่ ฟาน กัล คุม บาร์ซ่า แล้ว ครัฟฟ์ ในฐานะที่เคยนำ "เจ้าบุญทุ่ม" ประสบความสำเร็จมาก่อน ก็มักจากออกโรงวิจารณ์เรื่องการทำทีมอยู่บ่อยๆ
ความขัดแย้งครั้งรุนแรงที่สุดก็คือ ตอนที่ ฟาน กัล จะกลับมาคุมทีม อาแจ็กซ์ เมื่อปี 2011 แต่ ครัฟฟ์ ในฐานะที่เป็นสมาชิกคณะกรรมการที่ปรึกษา ก็ตั้งป้อมคัดค้านเต็มตัว เรื่องบานปลายใหญ่โตจนถึงต้องขึ้นโรงขึ้นศาล และสุดท้ายก็เป็นอดีต "นักเตะเทวดา" ที่เป็นฝ่ายชนะคดี ซึ่ง ฟาน กัล ก็ได้แต่บอกด้วยความเจ็บช้ำใจว่า "แน่นอนมันเจ็บปวด ทุกคนลืมกันหมดว่า อาแจ็กซ์ ก็เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตผมเหมือนกัน"
คุยกันอยู่ดีๆ อาจจะโดนเขี่ยทิ้งเมื่อไหร่ก็ได้เหมือน มาร์ค ฟาน บอมเมล
แตกคอกับกัปตันทีมของตัวเอง
ในปี 2009 หลุยส์ ฟาน กัล เข้ามาคุมทีม บาเยิร์น ตอนนั้น มาร์ค ฟาน บอมเมล กองกลางสายเลือดดัตช์เหมือนกัน เป็นกัปตันทีม "เสือใต้" และทั้งคู่ก็ร่วมงานกันประสบความสำเร็จด้วยดี ปีแรกของ ฟาน กัล ในลีก บุนเดสลีกา จบลงด้วย ดับเบิ้ลแชมป์
ทว่าในฤดูกาลต่อมา ช่วงเบรกหนีหนาว ฟาน กัล ตัดสินใจซื้อ ลุยซ์ กุสตาโว่ มาจาก โฮฟเฟนไฮม์ ด้วยค่าตัว 13 ล้านปอนด์ กองกลางทีมชาติบราซิลตอนนั้นเป็นดาวรุ่งของ บุนเดสลีกา และที่สำคัญสดกว่า หนุ่มกว่า ฟาน บอมเมล 10 ปี
จากนั้น ฟาน กัล ก็เรียก ฟาน บอมเมล มาคุยแล้วก็บอกไปตรงๆ ว่าจะปลดจากตำแหน่งกัปตันทีม แถมระบุชัดเจนด้วยว่าต่อไปนี้ไม่ใช่ตัวจริงของทีมอีกต่อไป การเขี่ย ฟาน บอมเมล ทิ้งแบบนี้กลายเป็นที่ถกเถียงในสโมสร เพราะใครก็รู้ว่ากองกลางตัวเก๋ายังคงเจ๋งที่สุดในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับ
แต่เชื่อกันว่า ฟาน กัล ทำแบบนี้นอกจากเหตุผลว่าอยากสร้างทีมด้วยผู้เล่นหนุ่มๆ อีกประเด็นหนึ่งซึ่งสำคัญกว่าก็คือ เพราะไม่ต้องการให้ผู้เล่นคนไหนมาสร้างอิทธิพลเหนือกว่า โดยเป็นที่รู้กันว่า ฟาน บอมเมล นอกจากจะสำคัญต่อทีมอย่างมากแล้ว ยังสนิทกับทั้ง อาร์เยน ร็อบเบน และ บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ ด้วย
ถ้าทำตัวตามสบายเกินเหตุก็เป็นอันหมดอนาคตเหมือน ลูก้า โทนี่
ใครชอบทำเป็นเล่นต้องโดน
ลูก้า โทนี่ ดาวยิงทีมชาติอิตาลี คือหัวหอกคนสำคัญของ บาเยิร์น ตอนที่ ฟาน กัล เข้ามาคุมทีม โดยหัวหอกร่างยักษ์ดีกรีแชมป์โลกเป็นคู่หูกับ ฟร้องค์ ริเบรี่ นำทีมคว้าดับเบิ้ลแชมป์ ภายใต้การคุมทีมของ อ็อตมาร์ ฮิตซ์เฟลด์ มีสถิติยิง 38 ประตู จาก 56 นัดใน 2 ฤดูกาล
แต่วันหนึ่ง ที่สนามซ้อม ในระหว่างที่ทุกคนทานอาหารพร้อมกัน โทนี่ ก็อยากจะนั่งสบายๆ เลยไถลตัวลงไปเอกเขนกเหมือนนอนดูทีวีอยู่บ้าน แต่นั่นเป็นเรื่องที่ขัดหูขัดตา ฟาน กัล ยิ่งนัก เจ้านายชาวดัตช์ถึงกับลุกขึ้นเดินมาข้างหลังดาวยิงอิตาเลียน เอามือดึงหูแล้วบอกให้นั่งดีๆ
ในเดือนกันยายน ปี 2009 ฟาน กัล เคยสั่งให้ โทนี่ ลงสนามกับทีมสำรองของ บาเยิร์น 2 เกม ทั้งที่เพิ่งจะหายจากอาการเจ็บที่เอ็นร้อยหวาย และสิ่งที่ปรากฏต่อหน้าแฟนบอลที่เข้ามาดูเกมถึง 2,000 คนในวันนั้นก็คือ ดาวยิง "อัซซูรี่" ต้องมีปัญหากับสภาพพื้นสนามที่ส่งผลกับอาการเจ็บ
ความสัมพันธ์ของทั้งคู่่ำย่ำแย่ลงเรื่อยๆ จนกระทั่งในเดือน พฤศจิกายน ในเกมกับ ชาลเก้ เมื่อ โทนี่ โดนเปลี่ยนตัวออก เขาก็แสดงการต่อต้านด้วยการเดินทางออกจากสนามไปทันที
"วิธีที่ ฟาน กัล ปฏิบัติกับผู้เล่นคนสำคัญในทีมมันเหมือนจะไม่เป็นการให้เกียรติกันในแง่ของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ฟาน กัล ต้องการแสดงให้พวกเราเห็นว่าเขาสามารถจะเขี่ยผู้เล่นคนไหนทิ้งก็ได้ทั้งนั้น" โทนี่ กล่าว
แฟน แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ต้องภาวนาให้ ฟาน กัล กับ ฟาน เพอร์ซี่ ญาติดีกันแบบนี้ไปเรื่อยๆ
แม้แต่ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ก็เคยงัดกันมาแล้ว
ตอนที่ หลุยส์ ฟาน กัล เข้ามาคุมทีมชาติฮอลแลนด์เป็นหนที่ 2 ทีมเพิ่งล้มเหลวมาจาก ยูโร 2012 บรรยากาศในทีมตอนนั้นย่ำแย่ และหลังจากเข้ามารับตำแหน่ง สิ่งแรกที่ ฟาน กัล ทำก็คือเรียกทุกคนไปรวมตัวกันที่โรงแรมหรูที่ นูร์ดไวจ์ค ใกล้ๆ บ้านพักของตัวเอง
ฟาน กัล ขอให้ผู้เล่นทุกคนแสดงความเห็นกับสิ่งที่เกิดขึ้นใน ยูโร 2012 แต่ ฟาน เพอร์ซี่ เป็นคนเดียวที่ไม่ยอมพูดอะไร โดยเรื่องเป็นที่เปิดเผยในภายหลังว่าเป็นเพราะ "อาร์วีพี" ไม่อยากจะพูดตำหนิใคร
"ผมมองว่านั่นเป็นการแสดงออกในเชิงลบ แล้วผมก็ประกาศในวันนั้นเลยว่า คลาน-ยาน ฮุนเตลาร์ จะเป็นกองหน้าตัวจริงของผม ส่วน โรบิน ต้องรับบทบาทตัวสำรองให้ได้" กุนซือจอมเฮี้ยบระบุ
หลังจากนั้น ฟาน กัล คุมทีมลงเล่นกับทีมชาติเบลเยียม ในช่วงเวลาไม่กี่วันหลังจากที่ ฟาน เพอร์ซี่ เพิ่งเซ็นสัญญาย้ายไปร่วมทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แน่นอนว่าดาวยิงตีนระเบิดได้แต่นั่งเป็นตัวสำรองตลอด 90 นาที แต่พอหลังจบเกม เมื่อนักข่าวถามเข้ามาถามว่าผิดหวังกับการที่ ฟาน กัล มาเป็นโค้ชทีมชาติคนใหม่หรือไม่ "อาร์วีพี" กลับตอบว่า "ไม่เลย จากที่ผมเห็นตั้งแต่วันแรก เขามีคุณสมบัติครบถ้วนสำหรับการเป็นยอดเทรนเนอร์ ผมพูดได้เลยแม้ว่าผมจะต้องเป็นตัวสำรองก็ตาม"
คำพูดของ ฟาน เพอร์ซี่ ทำให้ ฟาน กัล ประหลาดใจอย่างยิ่ง โดยกุนซือจอมเฮี้ยบเล่ารายละเอียดว่า "หลังจากนั้นผมต้องยอมรับผมยังไม่รู้จักเลยว่าจริงๆ เขาเป็นคนยังไง ผมรู้ว่ามีผู้เล่นหลายคนมีปรัชญาเกี่ยวกับฟุตบอลเหมือนกันกับผม แต่กับ โรบิน ผมไม่รู้อะไรเลย"
"ผมจำเป็นต้องรู้จักเขา และเอาเข้าจริงผมต้องแปลกใจกับความเป็นมืออาชีพของเขา เขาโปรมาก และที่สำคัญที่สุดก็คือเขาสามารถคุยกับผู้เล่นทุกคนในทีมได้ เขาแสดงความเป็นผู้นำและนี่คือเหตุผลที่ว่า 10 เดือนให้หลังผมได้ตั้งเขาเป็นกัปตันทีมชาติ เขาเหมาะสมสำหรับตำแหน่งกัปตัน และเขามีมุมมองเรื่องฟุตบอลแบบเดียวกับกับผมจริงๆ" กุนซือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กล่าว
เนื้อหาจาก bbc.com
ภาพ AFP