ภาพข่าว สปอร์ต ฮีโร่ จำกัด
"ช้างศึก" ทีมชาติไทย ผงาดเป็นแชมป์อาเซียนคัพ หรือ เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ มาแล้ว 3 ครั้งด้วยกันในปี 1996, 2000 และ 2002 ซึ่งในแต่ละปีที่เป็นแชมป์นั้นทีมชาติไทยมักจะมีกองหน้าที่ไว้ใจได้อยู่ในทีมเสมอ ๆ ทว่าในปีนี้ทัพช้างศึกกลับดูเหมือนไม่มีกองหน้าประเภทที่ว่า "โป้งปิดบัญชี" อยู่ในทีมเลย
ก่อนหน้านี้ในอดีตทีมชาติไทยมีกองหน้าที่ไว้ใจได้มาโดยตลอดในครั้งที่คว้าแชมป์ โดยในปี 1996 ไทยมี "อัลเฟรด" เนติพงษ์ ศรีทองอินทร์ อยู่ในทีม เช่นเดียวกับในปี 2000 และ2002 ที่มี เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ลงจับคู่กับ วรวุฒิ ศรีมะฆะ ทว่าในระยะหลังมานี้ไทยยังไม่มีกองหน้าในแบบทั้ง 3 รายข้างต้นอีกเลย
แน่นอนว่าการที่ "โค้ชซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ตัดสินใจไม่เรียกตัว "เจ้ามุ้ย" ธีรศิลป์ แดงดา หัวหอกเบอร์1ทีมชาติไทยยุคนี้มาช่วยทีม ส่่งผลให่ทีมขาดกองหน้าที่ไว้ใจได้จริง ๆ ไป ทว่าในเรื่องที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ในเรื่องของผู้เล่นตำแหน่งกองหน้าแต่ก็มีสิ่งดี ๆ ที่แอบแฝงอยู่เหมือนกันเพราะว่านี่อาจจะเป็นโอกาสแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวของ "เมสซี่เจ" ชนาธิป สรงกระสินธ์ ก็ได้
"เมสซี่เจ" ชนาธิป สรงกระสินธ์ ถือว่าเป็นมิดฟิลด์ที่สามารถสร้างความแตกต่างให้กับทีมชาติไทยได้มาก ด้วยพละกำลังที่เหลือเฟือ, ทักษะที่ยอดเยี่ยม, แถมยังเลี้ยงบอลติดเท้าในแบบที่ว่าแทบจะไม่เสียบอลเลยตลอดเกม ในยามที่บอลอยู่ที่เท้าของเขา นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไม เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ ครั้งนี้เขาน่าจะเป็นจิ๊กซอว์ตัวสำคัญที่จะช่วยให้ ทัพช้างศึก คว้าแชมป์มาครองในสมัยที่ 4
เมื่อไหร่ก็ตามที่ ชนาธิป สรงกระสินธ์ ได้ลงสนามพร้อมกับ ชาริล ชัปปุยส์ เมื่อนั้นแผงมิดฟิลด์ของไทยจะดูไหลลื่นมากขึ้นในทันที อาจจะเป็นเพราะว่าเคมีทักษะฟุตบอลของทั้ง 2 รายนั้นตรงกันก็เป็นไปได้ ซึ่งในวันพุธที่จะถึงนี้ที่ ทีมชาติไทย จะเปิดบ้านพบกับ ฟิลิปปินส์ อีกครั้งทั้ง 2 รายจะได้ประสานงานกันอย่างแน่นอน
ทั้งนี้ฉายา "เมสซี่เจ" ที่ได้มามันไม่ใช่เพราะโชคช่วยแต่อย่างใด แต่ด้วยฝีเท้าของเด็กหนุ่มชาวไทยล้วน ๆ ซึ่งในเกมวันพุธที่จะถึงนี้ต่อหน้าแฟนบอลกว่า 65,000 คนในสนาม ชนาธิป สรงกระสินธ์ จะสามารถร่ายมนต์บนฟลอร์หญ้าได้อย่างไม่ต้องสงสัย
ขอบคุณข้อมูลจาก อีเอสพีเอ็น