ภาพข่าว @Chatchai S.
"เจ้าเย็น" มงคล ทศไกร ปีกตีนตะขอทีมชาติไทยของอาร์มี่ ยูไนเต็ด ออกมาเปิดเผยว่าชีวิตของเขามันไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเลยแม้แต่น้อย เพราะก่อนที่จะก้าวขึ้นมาเป็นแชมป์เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ ในนามนักเตะทีมชาติไทยนั้น เมื่อ 6 ปีที่แล้วเขาเป็นเพียงแค่พนักงานคัดแยกสารเครื่องสำอาง จากรายงานของ โกล ดอท คอม ไทยแลนด์ เมื่อ 21 ธ.ค. ที่ผ่านมา
ปีกทีมชาติไทย ได้เปิดเผยถึงปูมหลังของตัวเขาเองเมื่อครั้งหิ้วสตั๊ดคู่ใจไปฝึกซ้อมกับทีมธนาคารกรุงไทย เมื่อปี 2008 ทว่าต้องรอผลการคัดเลือกอยู่นานทีเดียวจนคิดไปว่าไม่น่าจะได้รับการเซ็นสัญญากับทางสโมสรแล้ว ส่งผลให้เขาไปปรึกษากับ คุณพ่อ-คุณแม่ ว่าจะเอาอย่างไรดี จึงได้ไปเป็นพนักงานโรงงานคัดแยกสารเครื่องสำอางย่านบางพลีอยู่เดือนกว่า แต่ "โค้ชแต๊ก" อรรถพล ปุษปาคม ก็ได้เรียกเขากลับมาซ้อมกับทีมอีกครั้งพร้อมให้สัญญานักฟุตบอลอาชีพระยะสั้น
มงคล ทศไกร ได้ออกมาเปิดเผยว่า "ในตอนนั้นผมพูดตรง ๆ เลยว่าผมเองน้อยเนื้อต่ำใจในชีวิตของตัวเองมากจริง ๆ นะ ผมเองอยากเป็นนักฟุตบอลอาชีพ แต่ว่าต้องไปเป็นพนักงานโรงงานก่อน เนื่องจากว่าเรามีปัญหาทางบ้านพอสมควร"
"คุณเชื่อไหมผมได้รับค่าจ้างจากโรงงานเพียงแค่วันละ 205บาท เองนะ แต่ผมก็ต้องอดทนเพื่อครอบครัวของผม แต่ว่าจู่ ๆ "โค้ชแต๊ก" อรรถพล ปุษปาคม ก็ได้เรียกผมกลับไปสู่ทีมอีกครั้ง และแน่นอนว่าผมได้เซ็นสัญญาแม้ว่าจะเป็นระยะสั้น แต่ว่ามันก็ทำให้ผมมีรายได้มากขึ้น"
"แต่สุดท้ายแล้วจุดเปลี่ยนในชีวิตของผมจริง ๆ มันอยู่ที่การที่ผมจับได้ใบแดง และต้องมาเป็นทหารในปี 2009 ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นผมก็ต้องลงเล่นให้กับทีมทหารบก และแน่นอนว่าผมก็ยังเล่นอยู่จนถึงตอนนี้ และติดทีมชาติไทยจนได้เป็นแชมป์เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ"
"ซึ่งเมื่อเทียบชีวิตของผมในตอนนี้ที่เป็นทีมขวัญใจของคนไทยทั้งชาติในฐานะแชมป์ เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ กับเมื่อตอนที่ผมยังเป็นพนักงานคัดแยกสารเครื่องสำอางมันช่างต่างกันจริง ๆ ผมเหมือนได้ตายไปแล้วแต่เกิดใหม่อีกครั้ง"