ภาพข่าว AFP
ทีมชาติไทย สามารถต่อยอดความสำเร็จมาจาก เอเชียนเกมส์ ได้อย่างสวยงามด้วยผู้เล่นส่วนใหญ่กว่า 80% ที่มาได้แชมป์ เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ 2014 ล้วนมาจากอันดับ 4 ของ เอเชียนเกมส์ ซึ่งแน่นอนว่าโค้ชก็คือ "โค้ชซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง นั่นเองที่ก้าวขึ้นมาคุมทีมชาติชุดใหญ่ด้วยตัวเอง
รอบชิงชนะเลิศรายการ เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ 2014 แมตช์แรกที่ลงแข่งขันกันที่ สนามราชมังคลากีฬาสถาน ไทย เอาชนะ มาเลเซีย ได้ก่อน 2-0 ซึ่งถือว่าเป็นผลงานที่พอใจ ทว่าในเกมที่ 2 ณ สนามบูกิต จาลิล ประเทศมาเลเซีย ทีมชาติไทย เกือบต้องฝันสลายเมื่อถูก มาเลเซีย ไล่ยิงหนีห่างไปถึง 3-0 แต่ในช่วง 10นาทีสุดท้ายของเกมการแข่งขัน ชาริล ชัปปุยส์ กับ ชนาธิป สรงกระสินธ์ ก็มาช่วยยิงกันคนละลูกส่งให้ไทยพลิกกลับมาเป็นแชมป์ได้เป็นผลสำเร็จ
โดยสื่อชื่อดังอย่าง อีเอสพีเอ็น มองว่า ทีมชาติไทย ชุดนี้สามารถที่จะต่อยอดไปในการแข่งขันได้อีกในหลาย ๆ รายการด้วยกันไม่ว่าจะทัวร์มาเม้นท์ฟุตบอลโลกรอบคัดลอก หรือว่า เอเชียน คัพ ในปี 2019 เพราะว่า ทัพช้างศึก ชุดนี้มีอายุเฉลี่ยผู้เล่นอยู่ที่ราว 23 ปี เพราะว่าอย่าง "เมสซี่เจ" ชนาธิป สรงกระสินธ์ ก็อายุเพื่ง 21 ปี เท่านั้น ส่วน ชาริล ชัปปุยส์ หรือว่า อดิศักดิ์ ไกรษร ก็เพิ่งจะ 22 ปี ขณะที่ "เจ้าตอง" กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ ก็ 24 ปี
นอกจากนั้นทางสื่อชื่อก้องโลกยังเห็นว่าทีมชาติไทยสามารถเป็นแชมป์ได้โดยไม่ต้องพึ่งหัวหอกชื่อดังเบอร์1อย่าง "เอล แดงดา" ธีรศิลป์ แดงดา ซึ่งทำให้เห็นว่าผู้เล่นทีมชาติไทยชุดนี้แข็งแกร่งมากพอโดยไม่ต้องพึ่งนักเตะซุปเปอร์สตาร์ แต่หากว่าการแข่งขันในระดับเอเชียจะเป็นเรื่องที่ดีมากหากช้างศึกจะเรียกใช้งาน กองหน้าจากอัลเมเรีย เนื่องจากว่าประสบการณ์ของ ธีรศิลป์ แดงดา นั้นจะช่วยยกระดับทีมชาติไทยให้เจ๋งกว่าเดิมได้อีกหลายเท่า
นอกจากนั้น "โค้ชซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ซึ่งถือว่าเป็นกุนซือคนหนุ่มที่มีฝีไม้ลายมือทีเดียว เพราะด้วยวัยเพียง 41 ปี แต่กลับสามารถปลุกจิตวิญญาณของนักฟุตบอลทุกคนได้อย่างฮึกเหิม ซึ่งทุกอย่างมันบ่งบอกในตัวของมันเองอยู่แล้วด้วยผลงานในสนาม
ต่อจากนี้ไปทีมชาติไทยยังคงมีทัวร์นาเม้นท์ใหญ่ ๆ รออยู่อีกมากมายให้พิสูจน์ฝีเท้าของนักเตะ และฝีมือของผู้เป็นกุนซือ อย่างรอบคัดเลือกการไปแข่งขัน โอลิมปิคเกมส์ และฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก