เรอัล มาดริด v ลิเวอร์พูล : ชัยชนะตัดสินกันที่ 5 ข้อนี้

การแข่งขันยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก นัดชิงชนะเลิศระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ เรอัล มาดริด ใกล้ที่จะได้เวลาระเบิดความมันแล้ว โดยในปีนี้เกมนัดชิงจะใช้สนาม เอ็นเอสเค โอลิมปิสกี้ ณ กรุงเคียฟ ประเทศยูเครน เป็นสังเวียนชิงชัย และในตอนนี้ทั้งสองสโมสรต่างก็เดินทางถึงยูเครนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

แน่นอนว่านี่คือเกมที่ใหญ่สุด ๆ ซึ่งทั้ง ลิเวอร์พูล และ เรอัล มาดริด ก็ต่างเป็นยอดทีมด้วยกันทั้งคู่ แถมในฤดูกาลนี้พวกเขายังมีเกมรุกที่ดุดันไม่แพ้กันเลย โดยตัวความหวังของทีมหงส์แดงคงจะหนีไม่พ้น โมฮาเหม็ด ซาล่าห์ ขณะที่ทีมชุดขาวก็แน่นอนว่า คริสเตียโน่ โรนัลโด้ คือตัวทีเด็ด จนถึงขั้นที่ว่าเหล่ากูรูทั้งหลายบอกว่านี่คือเกมที่ชิงความเป็นหนึ่งกันของทั้งสองยอดนักเตะ

โดยเกมใหญ่ ๆ แบบนี้ แถมยังเป็นการเข้ามาชิงชัยกันของสองยักษ์ใหญ่เลยยิ่งทำให้ความน่าสนใจมีมากขึ้น และแน่นอนว่าความกดดันยังมีมากขึ้นอีกเป็นเท่าทวีคูณกันของทั้งสองทีม ซึ่งในเกมระดับนี้ตัวชี้วัดชัยชนะมันมีอยู่ไม่มาก หากใครมีโอกาสแล้วทำได้ก็จบ แต่ถ้ามีโอกาสแล้วทำไม่ได้ก็เตรียมตัวเตรียมในได้เลย

5 เหตุผลชี้ชัดการก้าวขึ้นเป็นแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก

 

1) ความนิ่งในเกมใหญ่

สำหรับข้อนี้ถือว่าเป็นการวัดใจของลิเวอร์พูลเลยทีเดียวว่านักเตะจะมีสมาธิ และคอนโทรลตัวเองได้มากแค่ไหนในเกมที่สำคัญมากขนาดนี้ เพราะว่าไม่มีผู้เล่นหงส์แดงคนใดเลยที่เคยลงเล่นในเกมนัดชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มาก่อน ผิดกับทาง เรอัล มาดริด ที่มีผู้เล่นถึง 14 คนที่เคยลงเล่นในเกมนัดชิงชนะเลิศมาแล้ว ส่งผลให้โมเมนตั้มในข้อนี้ไปอยู่ที่ฝั่งราชันชุดขาวมากกว่า

2) เกมทางฝั่งขวา

เกมทางฝั่งขวาของลิเวอร์พูลอาจจะเป็นตัวชี้วัดแชมป์เลยก็เป็นได้เพราะว่า โมฮาเหม็ด ซาล่าห์ แข้งตัวความหวังจะประจำการตรงนี้อยู่แล้ว ซึ่งแน่นอนว่าเขาจะต้องเจอกับทั้ง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ มาร์เซโล่ แต่อย่างที่ทราบกันดีว่า โรนัลโด้ นั้นรอบุก และเตรียมลากหุบเข้าในอยู่แล้ว ส่วน มาร์เซโล่า ถ้าเติมเพลินมาก ๆ เข้าอาจจะถูก โม ซาล่าห์ กระชากหายได้เอาง่าย ๆ 

ขณะที่ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ แบ็คขวาดาวรุ่งผู้ซึ่งถูกมองว่านี่แหละจะเป็นบ่อให้ทาง เรอัล มาดริด บุกเข้ามาทำเกมง่าย ๆ ก็เคยบอกว่า เขาเติบโตมาด้วยการดู โรนัลโด้ เล่น ทำให้เข้ารู้ถึงจุดอ่อนและจุดแข็งของดาวเตะโปรรตุกีสเป็นอย่างดี แต่ยังไงก็ตามมันไม่มีเวลา หนูเทรนท์ มาพลาดแล้ว เพราะว่าถ้าพลาดให้นักเตะอย่าง CR7 หายนะรออยู่อย่างแน่นอน ดังนั้นเกมนี้ฝั่งขวาของลิเวอร์พูลคือตัววัดแชมป์ได้เป็นอย่างดี

3) ขุมกำลังสำรอง

สำหรับขุมกำลังสำรอง แน่นอนว่านี่คือปัจจัยที่เหล่าทีมยักษ์ใหญ่มักจะเอาไว้ช่วงชิงชัยชนะกันในช่วงเวลาสำคัญ อย่างที่มีคนเคยบอกว่าตัวสำรองกับตัวจริงฝีเท้ามักไม่ห่างกันมากนักสำหรับทีมที่ต้องการเป็นแชมป์ และสำหรับ เรอัล มาดริด นั้นบอกได้เลยว่าพวกนักเตะที่อยู่ม้านั่งสำรองนั้นมีแต่พวกฝีเท้าจัดจ้านทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็น อิสโก้, มาร์โก้ อเซนซิโอ, ลูคัส บาสเกซ หรือว่า มาเตโอ โควาซิช พวกนี้ถือว่าสามารถลงสนามไปพลิกเกมได้ทุกคน

มาทางฝั่ง ลิเวอร์พูล เกมนี้ขุมกำลังสำรองของเขาคงจะหนีไม่พ้นนักเตะอย่าง เจมส์ มิลเนอร์ ที่เพิ่งหายเจ็บกลับมา นอกจากนั้นก็จะมี อดัม ลัลลาน่า, เอ็มเร่ ชาน ซึ่งนักเตะพวกนี้ความฟิตอาจจะยังไม่ถึงขั้นด้วยซ้ำเพราะเจ็บไปนานมาก และเพิ่งกลับมาลงซ้อมได้อย่างเต็มที่ ส่วนที่เหลือก็จะเป็นพวกดาวรุ่งอย่าง แดนนี่ อิงส์, โดมินิก โซลันกี้ หรือว่า เบน วู้ดเบิร์น 

ซึ่งถ้าเทียบกันปอนด์ต่อปอนด์แล้วขุมกำลังที่ม้านั่งสำรองของ เรอัล มาดริด จัดได้ว่ากินขาด

4) การต่อสู้กันด้านแท็กติก

แน่นอนว่า ลิเวอร์พูล ของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ชื่นชอบที่จะเล่นในระบบ 4-3-3 อยู่แล้ว และเกมนี้พวกเขาก็น่าจะมาแบบนี้เช่นกัน เพราะด้วยตำแหน่งเกมรุกของพวกเขาแล้วระบบนี้จัดได้ว่าลงตัวมากที่สุด แต่ก็อาจจะมีการเล่น 4-2-3-1 ได้หากว่าต้องการสถานการณ์ที่เซฟมากยิ่งขึ้น 

ขณะที่ เรอัล มาดริด พวกเขาเองก็ชอบที่จะเล่น 4-3-3 เช่นกัน โดยมี โรนัลโด้, เบนเซม่า และ เบล ลงเดินเกมรุก แต่ด้วยตัวผู้เล่นของพวกเขาอาจจะขยับไปเล่น 4-4-2 หรือว่า ไดมอนด์ ได้แล้วแต่โอกาส แต่ที่แน่ ๆ น่าจะเริ่มเกมด้วย 4-3-3 โดยนักเตะอย่าง อิสโก้ นั้นสามารถลงเล่นในเกมระบบใดก็ได้เพราะว่าเขาเล่นได้หมดตั้งแต่กลางสนามขึ้นมา แต่อยู่ที่ว่าเขาได้ลงสนามตอนไหนเท่านั้นเอง

5) ขอบข่ายแห่งเทคนิค

แน่นอนว่ามาถึงนัดชิงแล้วแฟน ๆ ก็ต้องอยากเห็นการลงเล่นที่ใส่เกมรุกสู้กันตูมตามอย่างแน่นอน เพราะว่าหลาย ๆ คนคงจะผิดหวังกับการนั่งดู เอฟเอ คัพ รอบชิงชนะเลิศมาแน่ ๆ 

เอาล่ะ สำหรับเกมนัดนี้ทั้ง ลิเวอร์พูล และ เรอัล มาดริด มีธรรมชาติที่ไม่เล่นฟุตบอลเกมรับอยู่แล้ว ดังนั้นหายห่วงได้เลย เกมนี้จะมีแต่การไล่ยิงประตูกันแบบสนั่นหวั่นไหวแน่ ๆ แต่อยู่ที่ว่าใครจะเป็นแชมป์เท่านั้นเอง เพราะว่าโอกาสในการทำประตูอาจจะไม่ได้มีบ่อย ๆ

แต่ว่าก็ต้องถามเซ็นเตอร์ฮาล์ฟหลักของทั้งสองทีมด้วยว่าพวกเขาจะลงเล่นได้ด้วยฟอร์มแบบไหน เพราะว่าทั้ง เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค และ เซร์คิโอ รามอส ต่างก็เป็นกองหลังที่แข็งแกร่งด้วยกันทั้งคู่ คงจะไม่โดนเล่นงานแบบง่าย ๆ แน่นอน งานนี้ก็ต้องรอเช็กจังหวะในเกมการแข่งขันกันอีกที

ส่วน 3 กองหน้าของแต่ละทีมก็มีการคิดมาเป็นเปอร์เซ็นต์แล้วว่า ในแต่ละนัดตลอด 90 นาที ของแชมเปี้ยนส์ลีกมีโอกาสยิงมากขนาดไหน

เรอัล มาดริด

คริสเตียโน่ โรนัลโด้ - 2.7 

คาริม เบนเซม่า - 1.6

แกเร็ธ เบล - 17.3

ลิเวอร์พูล

โม ซาล่าห์ - 2.3

โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ - 1.7

ซาดิโอ มาเน่ - 1.6 

แน่นอนว่าด้วยโอกาสขนาดนี้ของเหล่ากองหน้าจากทั้งสองทีม มันน่าจะเป็นการบอกได้แล้วว่าไม่ว่าทีมไหนก็ตามหากไม่อยากเสียประตูก็ไม่ควรจะปล่อยให้เกมรุกของคู่แข่งเข้าไปอยู่ในกรอบเขตโทษเลย

ขอบคุณข้อมูลจาก : thisisanfield.com

ภาพข่าว : AFP

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
เรอัล มาดริด v ลิเวอร์พูล : ชัยชนะตัดสินกันที่ 5 ข้อนี้ โพสต์เมื่อ 25 พฤษภาคม 2561 เวลา 17:26:49 14,272 อ่าน
TOP