บทวิเคราะห์ : 5 ข้อที่ทำให้ทีมชาติเยอรมนีตกรอบ

แชมป์เก่าเมื่อปี 2014 อย่าง ทีมชาติเยอรมนี เล่นเอาช็อกไปทั่วโลก หลังจากร่วงตกรอบแบ่งกลุ่ม ฟุตบอลโลก 2018 ด้วยน้ำมือของ เกาหลีใต้ 0-2

นี่คือครั้งที่สองที่ เยอรมนี ตกรอบแรก ฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย โดยก่อนหน้านี้เกิดขึ้นใน "เวิลด์ คัพ 1938" ซึ่งตอนนั้นการแข่งขันรอบแรกยังไม่ได้เล่นแบบแบ่งกลุ่มด้วยซ้ำ

forbes.com สื่อชื่อก้องโลก จึงได้ทำการวิเคราะห์เหตุผล 5 ข้อที่ทำให้ ทีมชาติเยอรมนี ตกรอบแรก ฟุตบอลโลก 2018 :

อาถรรพ์แชมป์เก่า

มันยากที่จะหาเหตุผลว่าทำไม เยอรมนี ถึงร่วงรอบแรกได้ง่าย ๆ ? แต่หากมองย้อนกลับไปก็เป็นเรื่องที่น่าคิดสำหรับแชมป์เก่า โดยในฟุตบอลโลก 5 ครั้งหลังสุด เยอรมนี คือแชมป์โลกทีมที่ 4 ที่กลับมาป้องกันแชมป์แล้วร่วงตกรอบแบ่งกลุ่ม

ซึ่งอาถรรพ์แชมป์เก่านี้เริ่มต้นขึ้นจาก ฝรั่งเศส แชมป์ปี 1998, อิตาลี แชมป์ปี 2006, สเปน แชมป์ปี 2010 ทั้ง 3 ทีมตกรอบแรก มีแค่ บราซิล แชมป์โลก 2002 ที่ได้เข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายใน ฟุตบอลโลก 2006 และก็มาถึงคิวของแชมป์ปี 2014 อย่าง เยอรมนี ที่ร่วงรอบแบ่งกลุ่มในปี 2018

หมดไอเดีย

ใน 3 นัดของรอบแบ่งกลุ่ม เยอรมนี ยิงคู่แข่งได้เพียง 2 ประตูเท่านั้น นี่คือสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาหมดไอเดียในการเข้าทำ และจะไปโทษกองหน้าอย่าง โธมัส มุลเลอร์ กับ ติโม แวร์เนอร์ ก็ถือว่าไม่ถูกเสียทีเดียว

ซึ่งรูปแบบการเล่นของ เยอรมนี เห็นได้ชัด ๆ ว่า ขาดความคิดสร้างสรรค์ และแรงขับเคลื่อนจากแดนกลาง ในเกมกับเกาหลีใต้ พวกเขามีโอกาสถึง 28 ครั้้ง แต่ไม่เป็นประตูเลยสักครั้ง แน่นอนว่า เมื่อผลออกมาเป็นแบบนี้ทุกคนต้องพุ่งเป้าไปที่การตัดชื่อของ เลรอย ซาเน่ ที่มีความเร็ว และถนัดในการเจาะแนวรับคู่แข่งออกไปก่อนฟุตบอลโลกจะเริ่มขึ้น ซึ่งหลายคนใช้คำพูดว่า "พลาดมหันต์"

ความมั่นใจ ?

เยอรมนี มีโครงสร้างฟุตบอลที่แข็งแกร่งมาอย่างยาวนาน นั่นทำให้พวกเขาอยู่ในระดับสูงมาตลอดหลายปี หลังจากปี 1938 พวกเขาคุ้นเคยกับความสำเร็จมาโดยตลอด ซึ่งพวกเขาไม่เคยตกรอบแรก ฟุตบอลโลก ตั้งแต่นั้นมาจนถึงตอนนี้ และผู้เล่นสำคัญชุดแชมป์โลกปี 2014 หลายคนก็ยังเป็นส่วนหนึ่งในทีมชุดปัจจุบัน

ก่อนศึก เวิลด์ คัพ ที่รัสเซีย พวกเขาก็ประเดิมคว้าแชมป์ คอนเฟเดอเรชั่นส์ คัพ เมื่อปี 2017 ด้วยผู้เล่นชุดทดลองมาแล้ว แถมในการจับสลากในรอบแบ่งกลุ่ม ฟุตบอลโลก 2018 ใครก็มองว่านี่เป็นงานหมู ๆ ของ เยอรมนี ซึ่งนี่อาจจะเป็นความมั่นใจที่มีมากเกินไป หรือเรียกง่าย ๆ ว่า ความประมาท

เกมรับที่อ่อนยวบ

เยอรมนี ชุดนี้มีแนวรับแข็งแกร่งจากสโมสร บาเยิร์น ที่เล่นด้วยกันมานานหลายปีอย่าง อานูเอล นอยเออร์ ผู้รักษาประตู โดยมี เฌอโรม บัวเต็ง และ มัทส์ ฮุมเมลส์ เป็นคู่เซ็นเตอร์แบ็ก พวกเขาผนึกกำลังช่วยป้องกันให้ "อินทรีเหล็ก" เสียไปเพียง 4 ประตูจากชัยชนะทั้ง 10 เกมในรอบคัดเลือก

แต่ทว่าในทัวนาร์เมนต์ที่รัสเซีย เยอรมนี กลับมีเกมรับที่ผิดฟอร์มไปอย่างน่าใจหาย โดยพลาดท่าแพ้ให้กับ เม็กซิโก ตั้งแต่เกมแรก และในเกมที่สองแม้ว่าจะชนะ สวีเดน 2-1 แต่มันก็เป็นฝันร้ายของแนวรับ และ บัวเต็ง ที่ไม่มี ฮุมเมลส์ ลงสนามเป็นคู่หูก็มาโดนใบแดงไปอีกด้วย จนกระทั่งเกมล่าสุดที่ถูก เกาหลีใต้ ทะลวงตาข่ายไปถึงสองลูก เป็นสิ่งที่ชี้ชัดว่าเกมรับของ เยอรมนี ไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนเดิมอีกต่อไป

ถึงเวลาเปลี่ยนผู้นำแล้วหรือยัง ?

ก่อนศึก ฟุตบอลโลก 2018 โยอาคิม เลิฟ ต้องรับมือกับปัญหาทั้งใน และนอกสนามอย่างเช่น ปัญหาทางการเมืองของ เมซุต โอซิล และอิลคาย กุนโดกัน รวมถึงการตัดชื่อของ เลรอย ซาเน่ ออกจากทีม งานนี้เขาจึงถูกวิจารณ์อย่างหนักในแง่ของการรับมือ และจัดการปัญหาต่าง ๆ ที่ยังไม่ดีพอ

เลิฟ ยังมีสัญญากับทาง เดเอฟเบ อยู่จนถึงปี 2022 และทาง เดเอฟเบ ก็ยืนยันแล้วว่าจะไม่ปลดเขาออกจากตำแหน่งนายใหญ่ แต่ความผิดหวังครั้งนี้ถือเป็นฝันร้ายของวงการลูกหนัง เยอรมนี

แน่นอนว่า "อินทรีเหล็ก" ยังคงมีผู้เล่นดาวรุ่งที่กำลังพุ่งขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญอย่าง โจชัว คิมมิช, ติโม แวร์เนอร์ รวมไปถึง เรลอย ซาเน่ ที่จะทำให้ทีมกลับมาแข็งแกร่งได้ อย่างไรก็ตามนี่คือช่วงเวลาแห่งความเปลี่ยนแปลงของ เยอรมนี อย่างแท้จริง ซึ่งอาจจะต้องรวมถึงการเปลี่ยนตัวกุนซือด้วย

ข้อมูลจาก forbes.com

ภาพจาก AFP

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
บทวิเคราะห์ : 5 ข้อที่ทำให้ทีมชาติเยอรมนีตกรอบ อัปเดตล่าสุด 28 มิถุนายน 2561 เวลา 16:46:18 30,511 อ่าน
TOP