แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำสิ่งที่เหลือเชื่อพลิกกลับมาเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ทั้ง ๆ ที่แพ้ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง มาก่อนคาบ้านในเกมแรก 0-2 และทำให้ถูกยกเป็นสุดยอดการคัมแบ็กแห่งความทรงจำอีกครั้งหนึ่งของทัพ "ปีศาจแดง"
แมนยู สร้างปาฏิหาริย์บุกไปกำชัยเหนือ เปแอสเช 3-1 ทำให้รวมผลสองนัดเสมอกัน 3-3 แต่เป็นทีมของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ที่พลิกสถานการณ์เข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ด้วยกฎประตูทีมเยือน
โดยเกมนี้แม้ว่า แมนยู จะเริ่มต้นได้ดีจากสองประตูของ โรเมลู ลูกากู ขณะที่ เปแอสเช ได้หนึ่งประตูจาก ฆวน เบร์นาต แต่ตลอด 90 นาที ทั้งกองเชียร์ และนักเตะในสนามไม่มีใครคาดคิดว่าจะเป็นทีมเยือนที่เป็นฝ่ายเข้ารอบ
ทว่าดราม่าก็มาเกิดขึ้นในช่วงท้ายเกมเมื่อ ผู้ตัดสินย้อนดู วีเออาร์ แล้วหันกลับมาเป่าให้จุดโทษกับ แมนยู จากจังหวะที่ ดีโอโก้ ดาโลท์ ยิงไกลบอลไปโดนแขน เพรสแนล คิมเพมเบ้ และสุดท้ายเป็นทาง มาร์คัส แรชฟอร์ด ที่รับหน้าที่สังหารผ่านมือ จานลุยจิ บุฟฟ่อน เป็นประตูส่งให้ทีมของ แมนยู โกงความตายผ่านเข้ารอบได้สำเร็จ
แน่นอนว่าเกมนี้ แมนยู ได้รับเสียงชื่นชมไปเต็ม ๆ กับผลงานอันสุดยอด แต่หากมองไปที่มุมมองของฝั่ง เปแอสเช นี่ถือเป็นความชอกช้ำอีกครั้งในรอบไม่กี่ปีที่ผ่านมาที่พวกเขาต้องมาตกรอบแบบปวดใจทั้ง ๆ ที่เป็นฝ่ายกุมความได้เปรียบเอาไว้ตั้งแต่เกมแรก
ซึ่งหากย้อนไปในฤดูกาล 2016-17 เปแอสเช ก็เคยลิ้มรสความเจ็บปวดลักษณะนี้มาแล้ว ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ซึ่งเกมแรกพวกเขาถล่ม บาร์เซโลน่า มาก่อนถึง 4-0 แต่ในนัดที่ 2 บาร์ซ่า พลิกนรกเอาชนะพวกเขาไปได้ 6-1 และเป็นฝ่ายชนะด้วยสกอร์รวม 6-5
โดยเกมดังกล่าวถือว่าความดราม่าอยู่ในระดับ 10 กะโหลกของแท้ โดยที่ 3 ประตูของ "เจ้าบุญทุ่ม" เกิดขึ้นหลังจากนาที 88 โดยเฉพาะประตูชัยนั้นเกิดขึ้นก่อนที่ช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาทีที่ 95 จะหมดลงไม่ถึง 10 วินาที
ความพ่ายแพ้ต่อ แมนยู จึงเป็นการซ้ำไปที่แผลเก่าให้ เปแอสเช เจ็บช้ำขึ้นไปอีก ถือเป็นบทเรียนราคาแพงอีกครั้งของทีมดังแห่งกรุงปารีสให้พวกเขาพัฒนา และก้าวผ่านไปเพื่อตำแหน่งแชมป์ยุโรปที่พวกเขาเฝ้ารอให้มาถึงสักวันหนึ่ง
ภาพจาก AFP