งานนี้ยอมไม่ได้ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ออกโรงตอกกลับ ปาสกาล แฟร์เร่ หัวหน้าบรรณาธิการนิตยสาร ฟร้องซ์ ฟุตบอล ที่พาดพิงว่า เขามุ่งมั่นที่จะคว้ารางวัล บัลลง ดอร์ ให้ได้มากกว่า ลิโอเนล เมสซี่ ก่อนแขวนสตั๊ด
โดยประเด็นดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนที่จะมีการประกาศรางวัล บัลลง ดอร์ 2021 ซึ่งมีข่าวออกมาว่า เมสซี่ คือตัวเต็งที่จะคว้ารางวัลเป็นสมัยที่ 7 ขณะที่ โรนัลโด้ จะไม่ไปร่วมงานที่จัดขึ้นที่กรุงปารีส ฝรั่งเศส
ซึ่งทาง ปาสกาล แฟร์เร่ ได้ปลุกกระแสการแข่งขันกันระหว่าง เมสซี่ กับ โรนัลโด้ ขึ้นมาเมื่อสัปดาห์ก่อนด้วยการให้สัมภาษณ์กับ New York Times ว่า "โรนัลโด้ มีความทะเยอทะยานเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือการแขวนสตั๊ดด้วยการคว้า บัลลง ดอร์ ให้มากกว่า เมสซี่ และที่ผมรู้ก็เพราะเขาเป็นคนบอกผมเอง"
แน่นอนว่างานนี้ทำเอา ซีอาร์7 ไม่พอใจอย่างแรง และได้ออกมาตอบโต้ แฟร์เร่ ผ่านทาง อินสตาแกรม โดยบอกว่าอีกฝ่ายเป็นพวกโกหก พร้อมยืนยันว่าตนมีน้ำใจนักกีฬาเสมอมา "ปาสกาล แฟร์เร่ โกหก เขาใช้ชื่อของผมเพื่อโปรโมทตัวเอง และเพื่อส่งเสริมงานที่เขาทำอยู่"
"เป็นที่ยอมรับไม่ได้ว่าบุคคลที่รับผิดชอบในการมอบรางวัลอันทรงเกียรตินี้จะเป็นคนเช่นนี้ ถือเป็นการไม่ให้เกียรติผู้ที่เคารพ ฟร้องซ์ ฟุตบอล และรางวัล บัลลง ดอร์ แถมเขายังโกหกอีกครั้ง โดยอ้างว่าผมไม่ไปร่วมงานเพราะต้องกักตัว ซึ่งไม่จริง"
"ผมร่วมแสดงความยินดีกับผู้ชนะเสมอมา ผมมีน้ำใจนักกีฬา และแฟร์เพลย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมยึดถือมาตลอดอาชีพ และผมก็ไม่เคยต่อต้านใคร ผมเอาชนะก็เพื่อตัวเอง เพื่อทีมที่ผมลงเล่นให้ และเพื่อคนที่รักในตัวผม ไม่ได้หวังที่จะเอาชนะใคร"
"ความทะเยอทะยานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาชีพของผมก็คือการเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับทุกคน หรือใครก็ตามที่ต้องการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ ความทะเยอทะยานที่ใหญ่ที่สุดในอาชีพของผมคือการทิ้งชื่อของตัวเองไว้ด้วยตัวอักษรสีทองในประวัติศาสตร์โลกฟุตบอล"
"ผมขอจบเรื่องนี้ด้วยการบอกว่า ผมขอโฟกัสที่เกมต่อไปของ แมนยู ร่วมกับเพื่อนร่วมทีม และแฟน ๆ ของเรา เรายังคงหวังที่จะประสบความสำเร็จในฤดูกาลนี้" ดาวเตะวัย 36 ปี กล่าวปิดท้าย
ทั้งนี้ รางวัล บัลลง ดอร์ 2021 ก็ตกเป็นของ ลิโอเนล เมสซี่ ตามคาด โดยแข้งอาร์เจนไตน์ สร้างประวัติศาสตร์คว้ารางวัลบอลทองคำมากที่สุด 7 สมัย ไล่ตั้งแต่ปี 2009, 2010, 2011, 2012, 2015, 2019 และ 2021 ขณะที่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ได้มากสุดเป็นอันดับ 2 โดยทำไว้ 5 สมัย
ข้อมูลจาก mirror.co.uk
ภาพจาก AFP