
ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ
ฮัลล์ ซิตี้ 0 - 1 แมนฯ ยูไนเต็ด
ฟิล บราวน์ กุนซือทีมตราเสือ เปลี่ยนทีมแค่จุดเดียวในการไล่ล่าชัยชนะเพื่อความอยู่รอดบนเวทีพรีเมียร์ลีกต่อไป โดย ดีน มาร์นี่ย์ ได้เป็นตัวจริงแทน มานูโช่ ที่หมดสิทธิ์เจอต้นสังกัดแม่
ด้านแชมป์ ปีศาจแดง เปลี่ยนทีมแบบยกชุดเหลือจากการที่มีเกมชิงเจ้ายุโรปรออยู่มิดวีก มีแค่ ดาร์เรน เฟล็ทเชอร์ ที่จะถูกแบนที่ โรม ที่ได้เป็นตัวจริง ส่วนคนอื่นๆ ที่ได้ลงสนามล้วนเป็นตัวสำรอง และดาวรุ่ง อาทิ แกรี่ เนวิลล์, เวส บราวน์, นานี่, ดาร์รอน กิ๊บสัน, เฟเดริโก้ มาเคด้า และ แดนนี่ เวลเบ็ค ขณะที่ ริโอ เฟอร์ดินานด์ ไม่มีชื่อแม้แต่สำรอง แต่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ยืนยันปราการหลังจอมแกร่งจะฟิตทันกลางสัปดาห์
ฮัลล์ เดินหน้าลุยแหลกตั้งแต่สิ้นเสียงนกหวีดแรก นาทีที่ 8 เนวิลล์ ที่เล่นเป็นเซ็นเตอร์แบ็กจับบอลไม่ดี แต่ก่อนที่ เคร็ก เฟแกน จะเข้าถึง ทางด้าน โทมัส คุสซัค ก็ปรี่ออกมารับไว้ได้ก่อน ดาวรุ่ง แมนฯ ยูไนเต็ด พยายามโต้ตอบ แต่เป็นทางเจ้าบ้านที่ได้เสียวมากกว่า นาทีที่ 13 โจวานนี่ หลุดขึ้นไปทางซ้ายก่อนเปิดเข้ากลาง เดือดร้อน คุสซัค ต้องทุบทิ้งพ้นอันตราย อีกห้านาทีถัดมา นานี่ เรียกฟรีคิกให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ในระยะอันตรายทีเดียว และปีกทีมชาติโปรตุเกสก็อาสาสังหาร แต่ยิงไม่แรงพอ ลูกพุ่งไปเข้าซอง โบซ มายฮิลล์
เข้าสู่นาทีที่ 22 ฮัลล์ ได้ลุ้นอีกครั้งจากจังหวะชุลมุนที่กองหลังทีมเยือนสกัดไม่ขาด ทำให้ มาร์นี่ย์ ได้กลับตัวยิงหน้ากรอบเขตโทษไปเข้ามือ คุสซัค อย่างไรก็ตาม เมื่อผ่านมาถึงนาทีที่ 24 กองเชียร์เจ้าถิ่นต้องเงียบกริบเมื่อ แมนฯ ยูไนเต็ด ออกนำ 1-0 จากลูกยิงไกลระยะเกือบ 35 หลาของ ดาร์รอน กิ๊บสัน ลูกพุ่งเสียบสามเหลี่ยมอย่างงดงาม ปีศาจแดง ได้ใจ และน่าหนีห่างในนาทีถัดมาจากจังหวะโต้กลับที่ต่อเกมขึ้นมาได้สวยทางด้านขวา แต่ กิโก้ มาเคด้า ชาร์จ 10 หลาไม่เต็มเท้าเลยเข้ามือ มายฮิลล์
ฮัลล์ ลุยแหลก แต่เกือบโดนเพิ่มอีกในนาทีที่ 33 จากจังหวะที่ เวลเบ็ค ใช้ความสามารถเฉพาะตัวลากจากแดนตัวเองขึ้นไปซัดหน้ากรอบเขตโทษลูกพุ่งหลุดกรอบไปหวุดหวิด ถัดมาอีกนาที มาเคด้า หาจังหวะสับไกถากเสาไปชนิดเส้นยาแดงผ่าแปดคุสซัค ต้องปัดลูกยิงเต็มข้อซ้ายของ แอนดี้ ดอว์สัน ข้ามคานไป ก่อนที่นายทวารโปล จะรับลูกฟรีคิกของ ดอว์สัน เข้าซองง่ายๆ ก่อนจบครึ่งแรกด้วยสกอร์นำ 1-0 ของ แมนฯ ยูไนเต็ด
ครึ่งหลัง แมนฯ ยูไนเต็ด ออกสตาร์ทอย่างมั่นใจ แต่เกือบสังเวยประตูในนาทีที่ 51 เมื่อ นิค บาร์มบี้ รอโหม่งลูกโยนจากกราบขวาตรงเสาสอง แต่ คุสซัค ปิดมุมได้ดีเลยบล็อกไว้ได้ บราวน์ กุนซือเจ้าบ้านแก้เกมด้วยการส่ง คาเล็บ โฟลัน กองหน้าร่างใหญ่ลงแทน โจวานนี่ ขณะที่ ราฟาเอล โดน มาร์นี่ย์ เสียบจนเจ็บ และต้องเปลี่ยนให้ ริชาร์ด เอ๊คเคอร์สลี่ย์ ลงเล่นแทน นาทีที่ 68 บาร์มบี้ ถูกถอดออกไปเพื่อเปิดทางให้ แบร์กนาร์ เมนดี้ ลงมาเล่นแทน ก่อนที่ ฮัลล์ จะได้ลุ้นจากลูกฟรีคิก แต่ ดอว์สัน ก็ยังซัดไม่ผ่านมือ คุสซัค
เอ๊คเคอร์สลี่ย์ ของทีมเยือนเติมขึ้นมาทำชิ่งกับ ลี มาร์ติน ก่อนฉวยโอกาสยิงเร็วด้วยขวาส่งบอลพุ่งหลุดกรอบชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด ก่อนที่ในช่วง 10 นาทีสุดท้าย ริทชี่ เดอ ลาเอ้ต์ กองหลังเบลเจี้ยนจะถูก เฟอร์กูสัน เปลี่ยนออกเพราะน่วม และ โรดริโก้ พอสเซบอน ได้ลงมาแทน นาทีที่ 87 นานี่ เกือบบวกสกอร์ให้ทีมเยือน แต่ลูกยิงไกลของเขาติดเซฟของ มายฮิลล์ ก่อนที่ โซรัน โทซิช ปีกเซิร์บจะถูก เฟอร์กี้ ลงมาแทน เวลเบ็ค ที่วันนี้ดูจะหวงบอลมากเกินไป
ช่วงเวลาที่เหลือ ไม่มีฝ่ายใดทำอะไรกันได้อีก จบเกม ฮัลล์ แพ้ แมนฯ ยูไนเต็ด 0-1 แต่ทีมตราเสือโชคดีที่ยังรอดตกชั้น จากการที่ทีมที่ลุ้นหนีตายทีมอื่นๆ ต่างแพ้
ลิเวอร์พูล 3 - 1 สเปอร์ส
เกมส่งท้ายฤดูกาลของหงส์แดง และไก่เดือยทอง โดยเจ้าบ้านยังให้ซามี่ ฮูเปีย กองหลังที่กำลังจะย้ายทีมเป็นสำรอง แต่ก็มีทั้งสตีเว่น เจอร์ราร์ด และเฟร์นานโด ตอร์เรส ประสานงานแดนหน้า ขณะที่ทีมเยือนร็อบบี้ คีน ลงเจอกับทีมเก่า ในแดนหน้าคู่กับเจอร์เมน เดโฟ
เริ่มมานาทีเดียว ลิเวอร์พูล เกือบออกนำ จากจังหวะที่เจอร์ราร์ด บิดตัวยิงด้วยขวาจากระยะราว 25 หลา บอลข้ามคานไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น หงส์แดง ครองเกมเอาไว้ได้อย่างรวดเร็ว นาทีที่ 5 จากจังหวะเตะมุมฟาบิโอ ออเรลิโอ โยนลึกไปเสาไกลให้มาร์ติน สเคอร์เทล โขกย้อนกลับมาหน้าประตู ยอสซี่ เบนายูน พยายามล้มตัวยิงจ่อๆ บอลข้ามคานแบบเหลือเชื่อ จังหวะในการลุ้นทำประตูยังมีไม่มากนัก นาทีที่ 22 สเปอร์ส ได้ลุ้นจังหวะแรก เมื่อเบอนัวต์ อัสซู-เอก็อตโต้ เติมมาส่องไกล แต่ไม่ผ่านมือเปเป้ เรน่า
เป็นเจ้าถิ่นมาได้ประตูออกนำ 1-0 ในนาทีที่ 31 จากจังหวะที่อัสซู-เอก็อตโต้ จ่ายบอลไปเข้าทางเดิร์ค เค้าท์ ทางขวา ก่อนเปิดด้วยซ้ายไปที่เสาสองให้ตอร์เรส ทะยานขึ้นโหม่งคนเดียว บนลอยชนคานล่างข้ามเส้นประตูไป สเปอร์ส เริ่มเน้น และเกือบตีเสมอในนาทีที่ 42 จากจังหวะวางบอลยาว เดโฟ หลุดกับดักล้ำหน้า แต่โดนเรน่า ออกมาบล็อกก่อนจะได้ยิงถนัด นาทีสุดท้ายของครึ่งแรก ลิเวอร์พูล เกือบได้ประตูที่ 2 โดยเบนายูน ลากบอลตัดจากกราบซ้ายก่อนพยายามปั่นให้บอลเสียบเสาสอง แต่กดไม่ลงบอลโด่งออกไป ครบ 45 นาที เป็นเจ้าบ้านนำ 1-0
เข้าสู่ครึ่งหลัง สเปอร์ส เปิดเกมบุกมายิ่งขึ้น แต่ก็ยังไม่มีโอกาสลุ้นประตูทั้งสองทีม จนนาทีที่ 57 สเปอร์ส ได้ฟรีคิกระยะ 25 หลากลางประตู และเป็นแกเร็ธ เบล ปั่นด้วยซ้าย ทว่าเรน่า ยังยืนถูกตำแหน่งตะครุบได้ ลิเวอร์พูล พยายามเร่งเกม นาทีที่ 63 เจอร์ราร์ด พาบอลเข้าไปในเขตโทษ ก่อนโยกหลอกเวดราน ชอร์ลูก้า และเปิดบอลไปติดมือกองหลังสเปอร์ส แต่ผู้ตัดสินเฉย เกมเริ่มเนือยลงไป แต่หงส์แดง มาได้ประตูที่ 2 ในนาทีที่ 65 เมื่อเค้าท์ ทำชิ่งกับเบนายูน ก่อนที่เค้าท์ จะยิงด้วยขวาตรงเส้นเขตโทษ บอลเหมือนจะหลุดกรอบแล้ว แต่ดันไปโดนเท้าอลัน ฮัตตัน เปลี่ยนทางเข้าไป
หงส์แดง ยังบุกต่อ อีก 2 นาทีต่อมา เจอร์ราร์ด ยิงมุมแคบจากฝั่งขวาของเขตโทษ บอลแฉลบกองหลังชนเสาออกไป และจากจังหวะเตะมุมที่เล่นกันเร็ว ชาบี อลอนโซ่ ปั่นกะให้เสียบเสา ทว่าโกเมส ยังบินปัดทิ้งได้นิดเดียวเจอร์ราร์ด น่าจะมีชื่อเป็นผู้ทำประตูในนัดนี้ ในนาทีที่ 74 เมื่อแอ็กเกอร์ พาบอลมาหน้าเขตโทษ ก่อนโดนปั๊มทะลักมาเข้าทางกัปตันทีม ปั่ทนหลุดเสาสองนิดเดียว กลับเป็นสเปอร์ส ที่ไล่มาเป็น 1-2 ในนาทีที่ 77 จากจังหวะวางบอลยาวแล้วร็อบบี้ คีน หลุดกับดักล้ำหน้าไปดวลเดี่ยวกับเรน่า และคีน เลือกยิงง่ายๆ ตุงตาข่าย โดยเป็นการยิงประตูทีมเก่า แต่คีน ก็ไม่แสดงอาการดีใจออกไป
เข้าสู่ช่วง 10 นาทีสุดท้ายของเกม หงส์แดง มาได้ประตูที่ 3 ในนาทีที่ 82 โดยเจอร์ราร์ด ไหลบอลให้เบนายูน หลุดเดี่ยวไปยิงสวนตัวโกเมส ไม่เหลือเวลาที่แฟนบอลลิเวอร์พูล รอคอยมาถึงในช่วง 5 นาทีสุดท้าย เมื่อซามี่ ฮูเปีย ถูกเปลี่ยนตัวลงมาเล่นแทนที่เจอร์ราร์ด และให้ฮูเปีย สวมปลอกแขนกัปตันทีมในเกมอำลาถิ่นแอนฟิลด์ แต่ก็ไม่มีประตูเพิ่มจากนั้น จบเกมลิเวอร์พล เอาชนะสเปอร์ส 3-1
รายชื่อผู้เล่น
ลิเวอร์พูล : โฆเซ่ เรน่า, เจมี่ คาร์ราเกอร์, มาร์ติน สเคอร์เทล, ดาเนี่ยล แอ็กเกอร์, ฟาบิโอ ออเรลิโอ, ฮาเวียร์ มาสเคราโน่, ชาบี อลอนโซ่, เดิร์ค เค้าท์, สตีเว่น เจอร์ราร์ด, ยอสซี่ เบนายูน, เฟร์นานโด ตอร์เรส
สเปอร์ส : เอเรลโญ่ โกเมส, อลัน ฮัตตัน, เวดราน ชอร์ลูก้า, เลดลี่ย์ คิง, เบอนัวต์ อัสซู-เอก็อตโต้, ลูก้า โมดริช, เจอร์เมน จีนัส, ดีดิเย่ร์ โซโกร่า, แกเร็ธ เบล, ร็อบบี้ คีน, เจอร์เมน เดโฟ
แอสตัน วิลล่า 1 - 0 นิวคาสเซิ่ล
"สิงห์ผงาด" แอสตัน วิลล่า ได้ แอชลี่ย์ ยัง ฟิตทันลงลุย ส่วน "สาลิกาดง" นิวคาสเซิ่ล ได้ ไมเคิ่ล โอเว่น เป็นสำรองขณะที่ โอบาเฟมี่ มาร์ตินส์ หายเจ็บกลับมาประจำแดนหน้าร่วมกับ มาร์ค วิดูก้า โดยเกมนี้นิวคาสเซิ่ลต้องชนะ ให้ได้และลุ้นให้ ฮัลล์ ซิตี้ หรือไม่ก็ ซันเดอร์แลนด์ ไม่ชนะ
เริ่มเกมมา วิลล่า ได้ลุ้นก่อน แกเร็ธ แบร์รี่ เปิดบอลให้ กาเบรียล อั๊กบอลลาฮอร์ โหม่งในเขตโทษ แต่ว่าข้ามคานออกหลังไป นาทีที่ 10 เดเมี่ยน ดัฟฟ์ ลากจี้เข้าเขตโทษ ก่อนจะแตะเข้าขวาและกดเรียด บอลไปตรงตัว แบร็ด ฟรีเดล นิวคาสเซิ่ล เก็บบอลได้อีกครั้ง แดนนี่ กัทธรี่ เปิดบอลให้ สตีเว่น เทย์เลอร์ ซัดด้วยขวา แต่ติดบล็อก การ์ลอส กวยย่าร์ สาลิกาดง เริ่มต้นอย่างคึกคัก นาทีที่ 14 โอบาเฟมี่ มาร์ตินส์ ได้หลุดไปวอลเล่ย์ในเขตโทษจากการตักไปให้ของ มาร์ค วิดูก้า แต่ว่าข้ามคานออกไปอีก
เจ้าถิ่นได้ลุ้นบ้างในนาที 20 เคร็ก การ์ดเนอร์ ได้ยิงตรงหน้าเขตโทษ แต่ว่า สตีฟ ฮาร์เปอร์ ปัดออกหลัง ก่อนที่อีก 6 นาทีถัดมา กองเชียร์นิวคาสเซิ่ลในวิลล่า ปาร์ค จะได้เฮเมื่อแมนฯยูไนเต็ด ขึ้นนำ ฮัลล์ ซิตี้ ไป 1-0 แต่แล้วนาที 38 กองเชียร์สาลิกาดงก็ต้องช็อกเมื่อ วิลล่า บุกขึ้นมาและเป็น แกเร็ธ แบร์รี่ ได้จังหวะยิงไกลกว่า 35 หลา บอลไปโดน เดเมี่ยน ดัฟฟ์ ทำให้เปลี่ยนทางเข้าประตูไป ขณะที่ สตีฟ ฮาร์เปอร์ หลงทางไปแล้ว วิลล่า นำ 1-0 ก่อนจะจบครึ่งแรกด้วยสกอร์นี้
กลับมาลุยกันต่อในครึ่งหลัง ทั้งสองทีมเปิดเกมแลกกันอย่างสนุก นาที 52 แอชลี่ย์ ยัง ลากขึ้นมาซัดด้วยขวาจากทางฝั่งซ้ายแต่ว่าหลุดเสาไกลออกไป อีก 3 นาทีถัดมา ยังเป็นวิลล่า ได้ลุ้นอีกครั้ง เจมส์ มิลเนอร์ ลากจากขวาตัดเข้าซ้ายแล้วซัดระยะ 20 หลา บอลพุ่งเฉียดเสานิดเดียว
นิวคาสเซิ่ล รูปเกมยังไม่ดีขึ้น นาที 71 ยังเกือบจะโดนวิลล่าสอยอีกประตูจากจังหวะที่ แบร์รี่ ได้หลุดเข้าเขตโทษและล็อกเข้าขวาก่อนจะปั่นโค้ง แต่บอลเลี้ยวไม่ทันและถากเสาไปอย่างน่าหวาดเสียวช่วงเวลาที่เหลือ นิวคาสเซิ่ล ไม่อาจทวงประตูตีเสมอได้ ทำให้จบเกม แอสตัน วิลล่า ชนะไป 1-0 ส่งผลให้ นิวคาสเซิ่ล ต้องตกชั้นสู่เดอะ แชมเปี้ยนชิพ ในฤดูกาลหน้า และเป็นการตกจากลีกสูงสุดครั้งแรกในรอบ 15 ปี
รายชื่อผู้เล่น
แอสตัน วิลล่า : แบร็ด ฟรีเดล, เคร็ก การ์ดเนอร์, เคอร์ติส เดวิส, การ์ลอส กวยย่าร์, นิคกี้ ชอรี่ย์, เจมส์ มิลเนอร์, สติลิยัน เปตรอฟ, แกเร็ธ แบร์รี่, แอชลี่ย์ ยัง, จอห์น คาริว, กาเบรียล อั๊กบอนลาฮอร์
นิวคาสเซิ่ล : สตีฟ ฮาร์เปอร์, ฟาบริซิโอ โคลอชชินี่, สตีเว่น เทย์เลอร์, ดาวิด เอ็ดการ์, เดเมี่ยน ดัฟฟ์, แดนนี่ กัทธรี่, นิคกี้ บัตต์, เควิน โนแลน, ปีเตอร์ โลเวนครานด์ส, มาร์ค วิดูก้า, โอบาเฟมี่ มาร์ตินส์
สรุปผลทุกคู่
ฮัลล์ ซิตี้ แพ้ แมนฯ ยูไนเต็ด 0-1
ฟูแล่ม แพ้ เอฟเวอร์ตัน 0-2
แบล็คเบิร์น เสมอ เวสต์บรอมวิช 0-0
แอสตัน วิลล่า ชนะ นิวคาสเซิ่ล 1-0
อาร์เซน่อล ชนะ สโต๊ค ซิตี้ 4-1
ลิเวอร์พูล ชนะ สเปอร์ส 3-1
แมนฯ ซิตี้ ชนะ โบลตัน 1-0
ซันเดอร์แลนด์ แพ้ เชลซี 2-3
เวสต์แฮม ชนะ มิดเดิ้ลสโบรช์ 2-1
วีแกน ชนะ พอร์ทสมัธ 1-0
สรุปอันดับ ดาวฃซัลโวพรีเมียร์ลีก
19 ประตู - นิโกล่าส์ อเนลก้า (เชลซี)
18 ประตู - คริสเตียโน่ โรนัลโด้ (แมนฯยูไนเต็ด)
16 ประตู - สตีเว่น เจอร์ราร์ด (ลิเวอร์พูล)
14 ประตู - เฟร์นันโด ตอร์เรส (ลิเวอร์พูล) ,โรบินโญ่ (แมนฯซิตี้)
12 ประตู - เดิร์ค เค้าท์ (ลิเวอร์พู) แฟร้งค์ แลมพาร์ด (เชลซี) , กาเบรียล อั๊กบอนลาฮอร์ (แอสตัน วิลล่า) , เควิน เดวีส (โบลตัน) , เวย์น รูนี่ย์ (แมนฯยูไนเต็ด) , ดาร์เรน เบนท์ (สเปอร์ส)
11 ประตู - ริคาร์โด้ ฟูลเลอร์ (สโต๊ค ซิตี้) , โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ (อาร์เซน่อล) , ยอห์น คาริว (แอสตัน วิลล่า) , ปีเตอร์ เคร้าช์ (พอร์ทสมัธ)
10 ประตู - ฌิบริล ซิสเซ่ (ซันเดอร์แลนด์) , อาเมียร์ ซากี้ (วีแกน) , เจอร์เมน เดโฟ (สเปอร์ส) , ร็อบบี้ คีน (สเปอร์ส) , เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ (อาร์เซน่อล) , เบนนี่ แมคคาร์ธี่ (แบล็คเบิร์น) , แม็ทธิว เทย์เลอร์ (โบลตัน) , เคนวีน โจนส์ (ซันเดอร์แลนด์) , คาร์ลตัน โคล (เวสต์แฮม)
9 ประตู - สตีเฟ่น ไอร์แลนด์ (แมนฯซิตี้) , นิคลาส เบนท์เนอร์ (อาร์เซน่อล) , ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ (แมนฯยูไนเต็ด)
* แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (แชมป์), ลิเวอร์พูล (รองแชมป์) และ เชลซี (อันดับ 3) ได้สิทธิ์ไปเล่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม ฤดูกาลหน้า
* อาร์เซน่อล (อันดับ 4) ได้สิทธิ์ไปเล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบคัดเลือก ฤดูกาลหน้า
* เอฟเวอร์ตัน (อันดับ 5), แอสตัน วิลล่า (อันดับ 6) ไปเล่น ยูโรป้า ลีก ฤดูกาลหน้า ในรอบเพลย์-ออฟ ส่วน ฟูแล่ม (อันดับ 7) ได้สิทธิ์ไปเล่น ยูโรป้า ลีก ฤดูกาลหน้า ในรอบคัดเลือก รอบสาม
* นิวคาสเซิ่ล (อันดับ 18), มิดเดิ้ลสโบรช์ (อันดับ 19) และ เวสต์ บรอมวิช (อันดับ 20) ตกชั้นไปเล่นในลีก แชมเปี้ยนชิพ ฤดูกาลหน้า
ภาพข่าวจาก http://sports.yahoo.com