
ฟุตบอลกระชับมิตร
ฮอลแลนด์ 2 - 2 อังกฤษ
เกมอุ่นเครื่องของสองทีมดัง ฮอลแลนด์ใช้งานสามผู้เล่นที่ค้าแข้งในเมืองผู้ดีลงเตะเป็นตัวจริงอันประกอบไปด้วยเดิร์ก เคาท์ , โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ และ ไนเจล เดอ ย็อง ขณะที่อังกฤษปราศจากนายทวารเดวิด เจมส์และเบน ฟอสเตอร์ที่นัดกันเจ็บทำให้โรเบิร์ต กรีนได้เฝ้าเสาเป็นนัดที่สามติดต่อกัน โดยมีแอชลีย์ ยังถูกส่งลงเล่นเป็นตัวจริงหนแรกแทนที่สตีเว่น เจอร์ราร์ดซึ่งเดี้ยง ส่วนเดวิด เบ็คแฮมได้รับใช้ชาติเป็นเกมที่ 113
เกมเริ่มต้นโดยอัศวินสีส้มคุมจังหวะเอาไว้ และใช้เวลา 10 นาทีก็พังประตูได้จากความผิดพลาดของทีมสิงโตคำรามในจังหวะที่แฟร้งค์ แลมพาร์ดผ่านบอลในแดนตัวเองออกกราบขวาแล้วริโอ เฟอร์นานด์ทำเฟอะฟะตบคืนเข้าเขตโทษสั้นเลยถูกเคาท์ฉกไปเตะหนีกรีนก่อนจะซัลโวยัดใส่เสาแรกซึ่งแม้จอห์น เทอร์รี่จะพยายามสกัดทิ้งบนเส้นประตูแต่ก็ไม่สำเร็จบอลทะลักเข้าปะทะตาข่ายเป็นสกอร์นำ 1-0 ของเจ้าบ้าน
สถานการณ์ของฮอลแลนด์ดูดีขึ้นมาทันที แต่ถึงนาทีที่ 17 อังกฤษโต้ได้สวยโดยเบ็คแฮมจ่ายบอลให้เกล็น จอห์นสันเติมเกมขึ้นไปไหลบอลเข้าเขตโทษด้านขวาให้แลมพาร์ดสอดเข้ากดไปที่เสาแรกติดบล็อคของนายทวารมาร์เท่น สเตเคเลนเบิร์กกระดอนออกมา เวย์น รูนีย์จึงปรี่เข้าโขกซ้ำจาก 12 หลาส่งบอลหลุดเสาไกลออกไป
ทีมเมืองกังหันลมกลับมาเดินหน้าระลอกใหม่ แต่เกือบโดนดีอีกหนในนาทีที่ 23 จากลูกฟรีคิกแถวมุมธงกราบขวาของทีมเมืองผู้ดีที่เบ็คแฮมฉวยโอกาสสาดบอลเร็วเข้าเสาแรก แต่แลมพาร์ดวิ่งเข้าวอลเลย์ไม่เต็มเท้าเลยถูกสเตเคเลนเบิร์กเซฟได้
เกมของอังกฤษเริ่มมีพิษสงมากขึ้นทุกที กระนั้นในนาทีที่ 29 เจ้าบ้านก็โต้กลับแล้วแลมพาร์ดเข้ารวบอาร์เยน ร็อบเบนกลิ้งจึงเป็นลูกฟรีคิกของฟลายอิงดัตช์แมนซึ่งอาศัยการวางบอลยาวเข้าเขตโทษด้านขวาให้เคาท์เข้าโขกเผาขนมุมแคบ ดีที่ว่ากรีนหุบขาสกัดทิ้งได้อย่างเฉียดฉิว
ถัดมาอีกสี่นาที ฮอลแลนด์น่าจะเพิ่มสกอร์ได้จากการเล่นเกมบีบเร็วในแดนทีมเยือนจนทำเอาแลมพาร์ดคายบอลคืนหลังแย่ถูกร็อบเบนฉกไปกระดกข้ามศีรษะจอห์นสันเลื้อยเข้าเขตโทษด้านซ้ายได้ แต่จังหวะสับไกกลับซัดโด่งออกไปอย่างน่าเขกกระโหลก
อย่างไรก็ดี นาทีที่ 37 ทีมสิงโตคำรามก็ยื่นดาบให้เจ้าบ้านอีกครั้ง คราวนี้เป็นแกเร็ธ แบร์รี่ที่ส่งบอลกลับหลังไม่ดูตาม้าตาเรือบ้างเลยโดนร็อบเบนโฉบเข้าเขตโทษไปเข่นถูกกรีนขยับออกมาสกัดได้ทัน แต่ก็ไม่รอดอยู่ดี ราฟาเอล ฟาน เดอร์ ฟาร์ทตามเก็บตกจาก 12 หลาช่วยให้ทีมอัศวินสีส้มนำหน้า 2-0
อังกฤษพยายามใช้ลูกโด่งซึ่งเป็นจุดแข็งของตัวเองเล่นงานทีมดัตช์ และเกือบได้ผลในนาทีที่ 43 เมื่อเอมิล เฮสกี้โขกตั้งให้รูนีย์กระทุ้งจาก 18 หลาเฉี่ยวกรอบประตูออกไปไม่ถึงฟุต จบครึ่งแรกเจ้าถิ่นจึงนำไปก่อนสองลูก
ครึ่งหลังทีมเมืองผู้ดีส่งฌอน ไรท์ ฟิลลิปส์ , เจอร์เมน เดโฟ และไมเคิ่ล คาร์ริคลงบู๊แทนเบ็คแฮม , เฮสกี้ และแบร์รี่ ขณะที่เจ้าบ้านใช้งานไรอัน บาเบิ้ลกับเวสลีย์ สไนเดอร์แทนที่โรบิน ฟาน เพอร์ซี่กับฟาน เดอร์ ฟาร์ท
และแล้วแค่ 4 นาทีแรกหลังเริ่มเกมกันใหม่ อังกฤษก็มีเฮเมื่อแลมพาร์ทสบโอกาสกระดกบอลเร็วขึ้นหน้าให้เดโฟโชว์สปีดที่จัดจ้านกระชากบอลลุยไปคนเดียวก่อนจะจิ้มยิงด้วยหัวเกือกจาก 18 หลาส่งบอลชนโคนเสากลิ้งเข้าประตู จึงเป็นอันว่าทีมเยือนไล่มา 1-2
ผ่านมาถึงนาทีที่ 55 ฮอลแลนด์ก็เปลี่ยนอิบราฮิม อเฟลลายลงเล่นแทนร็อบเบน และอีกสี่นาทีให้หลังสิงโตคำรามก็ปล่อยคาร์ลตัน โคลลงไปล่าตาข่ายแทนรูนีย์ ถึงนาทีที่ 68 อังกฤษใช้งานเจมส์ มิลเนอร์แทนยัง และน่าจะตีเสมอได้ในอึดใจต่อมาเมื่อแลมพาร์ดจ่ายบอลขึ้นหน้าให้คาร์ลตัน โคลโชว์ทักษะโยกหลอกโยริส มาไธจ์เซ่นสองจังหวะก่อนจะตะบันจาก 18 หลาเฉี่ยวออกหลังไปแค่เส้นยาแดงผ่าแปดเท่านั้น
หลังจากพยายามอย่างต่อเนื่อง ทีมสิงโตคำราม ก็มาได้ประตูตีเสมอ 2-2 เมื่อ เจมส์ มิลเนอร์ ตัวสำรองที่เพิ่งส่งลงมา กระชากบอลถึงเส้นหลังก่อนปาดมาที่หน้าปากประตู และเป็น เจอร์เมน เดโฟ พุ่งชาร์ตจ่อๆตุงตาข่าย
จากนั้นอังกฤษ ยังเดินหน้าบุกต่อ แต่สุดท้ายไม่มีสกอร์เพิ่ม จบเกมเสอมกันไปแบบสนุก 2-2
รายชื่อผู้เล่น
ฮอลแลนด์ : มาร์เทน สเตเคเลนเบิร์ก, จอห์น ไฮติงก้า, อังเดร ออยเยอร์, โยริส มาไธจ์เซ่น, เอ็ดสัน บราฟไฮด์, ไนเจล เด ยองก์, สไตจ์น ชาร์ส, ราฟาเอล ฟาน เดอร์ ฟาร์ท, อาร์เยน ร็อบเบน, โรบิน ฟาน เพอร์ซี่, เดิร์ค เคาท์
สำรอง : มิเชล โฟร์ม, เดิร์ค มาร์เซลลิส, เกรกอรี่ ฟาน เดอร์ วีล , เวสลี่ย์ สไนเดอร์, เดมี่ เดอ ซูว์, อิบราฮิม อเฟลลาย, ไรอัน บาเบิล, ดาวิด เมนเดส ดา ซิลวา, คลาส-ยาน ฮุนเตลาร์
อังกฤษ : โรเบิร์ต กรีน, เกล็น จอห์นสัน, แอชลี่ย์ โคล, ริโอ เฟอร์ดินานด์, จอห์น เทอร์รี่, แกเร็ธ แบร์รี่, เดวิด เบ็คแฮม, แฟร้งค์ แลมพาร์ด, แอชลี่ย์ ยัง, เอมิล เฮสกี้, เวย์น รูนี่ย์
สำรอง : พอล โรบินสัน, เจมส์ มิลเนอร์, เวย์น บริดจ์, แม็ทธิว อัพสัน, โจลีออน เลสค็อตต์, ฌอน ไรท์-ฟิลลิปส์, ไมเคิ่ล คาร์ริค, เจอร์เมน เดโฟ, คาร์ลตัน โคล, ธีโอ วัลค็อตต์, โจ ฮาร์ท
รัสเซีย 2 - 3 อาร์เจนตินา
"หมีขาว" ทีมชาติรัสเซีย เจ้าบ้านไม่มี วลาดิมีร์ บิสตรอฟ ปีกขวาตัวจัดจ้านจากสปาร์ตัค มอสโก ที่บาดเจ็บกล้ามเนื้อ รวมทั้ง ยูริ ซีร์คอฟ วิงแบ็คกราบซ้ายตัวใหม่ของเชลซีที่เจ็บบริเวณหัวเข่า ชวดบู๊ทั้งคู่ แต่ได้ อังเดร อาร์ชาวิน ลงมาปั้นเกมรุกให้กับ อเล็กซานเดอร์ เคอร์ซาคอฟ หัวหอกตัวเป้าจากสโมสรดินาโม มอสโก เข้าทำสกอร์
ส่วน "ฟ้า-ขาว" อาร์เจนติน่า อดีตแชมป์โลกสองสมัย ไม่มี ฮวน เซบาสเตียน เวรอน จอมทัพเอสตูเดียนเตส และ คาร์ลอส เตเวซ กองหน้าตัวใหม่ของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่มีอาการบาดเจ็บ รวมทั้ง ลีโอเนล เมสซี่ สตาร์อันดับหนึ่งของทีมที่เจ็บขาขวาในระหว่างฝึกซ้อมชวดลงสนาม ทำให้แดนหน้าเป็นการจับคู่กันของ ดีเอโก้ มิลิโต้ หัวหอกตัวใหม่ของอินเตอร์ มิลาน และ เซร์คิโอ อเกวโร่ "กุน" ดาวยิงของแอตเลติโก มาดริด
เปิดฉากครึ่งแรกมาท่ามกลางอุณหภูมิ 28 องศาเซลเซียส ทาง รัสเซีย เริ่มต้นได้ดีทีเดียวก่อนได้ประตูออกนำไปก่อนในนาทีที่ 17 จากการสอดขึ้นมาพังสกอร์ของ อีกอร์ เซมชอฟ มิดฟิลด์ของสโมสรเซนิต เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก ช่วยให้เจ้าบ้านนำก่อน 1-0
อย่างไรก็ตาม ทีมดังจากแดนละตินไม่เสียศูนย์บุกกลับมาจนได้ประตูตีเสมอในนาทีที่ 45 จาก เซร์คิโอ อเกวโร่ "กุน" หัวหอกตัวเก่งของทีมช่วยให้สกอร์กลับมาเท่ากัน 1-1 เมื่อหมดครึ่งแรก
ในครึ่งหลัง อาร์เจนติน่า มีการปรับเปลี่ยนตัวผู้เล่นให้ ดาเนี่ยล "กาต้า" ดิอ๊าซ ลงมายืนในแผงหลังแทน นิโคลัส โอตาเมนดี้ ส่วนแนวรุกให้ ลิซานโดร โลเปซ หัวหอกตัวกลั่นของโอลิมปิก ลียง ลงมาล่าตาข่ายแทน ดีเอโก้ มิลิโต้ แท็คติกนี้ได้ผลทีเดียว ฟ้า-ขาว มาได้ประตูขึ้นนำจนได้ในนาทีแรกของครึ่งหลัง เมื่อ ลิซานโดร โลเปซ ที่ลงมาเป็นสำรองมาทำประตูให้อาร์เจนติน่า นำ 2-1
เกมออกรสชาติทีเดียว เจ้าบ้านไล่บดบี้คืนบ้าง แต่แนวรับของฟ้า-ขาว ต้านได้หมด อีกทั้งยังมาได้ประตูทิ้งห่างเป็น 3-1 ในนาทีที่ 59 จากการพังประตูของ เฮซุส ดาโตโล่ มิดฟิลด์จากสโมสรนาโปลี ที่เพิ่งเปลี่ยนลงมาเป็นสำรองได้แค่แป๊บเดียว
ขยับมาถึงนาทีที่ 63 ดีเอโก้ มาราโดน่า กุนซืออาร์เจนฯ ปรับแท็คติกอีกครั้งส่ง เอเซเกล ลาเวซซี่ ดาวยิงจากสโมสรนาโปลี ลงมาเล่นแทน เซร์คิโอ อเกวโร่ "กุน" พร้อมกับให้ เซบาสเตียน บัตตาย่า กองกลางตัวรับจากโบคา จูเนียร์ส ลงมาตัดเกมแล้วถอด มาริโอ โบลัตติ กองกลางจากสโมสร ฮูราคาน ออกมาพัก
ทัพหมีขาวไม่ย่อท้อบุกกลับมาบ้างก่อนได้ประตูไล่คืนมา 2-3 จากการกระทุ้งของ โรมัน พาฟลิวเชนโก้ หัวหอกจากสโมสรท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ในนาทีที่ 78
สองนาทีให้หลัง โฮนาส กูเตียร์เรซ ปีกซ้ายของอาร์เจนฯ มาโดนใบเหลืองไปเป็นคนแรกของเกมนี้ ช่วงท้ายเกมทำอะไรกันเพิ่มไม่ได้ จบเกม อาร์เจนติน่า บุกมาเอาชนะ รัสเซีย ได้อย่างสนุกถึงถิ่นด้วยสกอร์ 3-2 สร้างความมั่นใจเพิ่มขึ้นก่อนลงทำศึกหนักกับ บราซิล ในฟุตบอลโลก 2010 รอบคัดเลือก โซนอเมริกาใต้ ในเดือนหน้า
รายชื่อผู้เล่น
รัสเซีย: อีกอร์ อคินเฟเยฟ - อเล็กซานเดอร์ อันยูคอฟ, เดนิส โกโลดิน (วาซิลี่ เบเรซุตสกี้ น.75), เซอร์เก อิ๊กนาเชวิช, เรนาต ยานบาเยฟ - เซอร์เก ซิมัค (กัปตันทีม) (อลัน ซาโกเยฟ น.60) - อีกอร์ เดนิซอฟ, อีกอร์ เซมชอฟ (พาเวล โพเกร็บเนี้ยค น.81), คอนสแตนติน ซีเรียนอฟ, อังเดร อาร์ชาวิน - อเล็กซานเดอร์ เคอร์ซาคอฟ (โรมัน พาฟลิวเชนโก้ น.46)
สำรองไม่ได้ใช้ : วลาดิเมียร์ กาบูลอฟ (ผู้รักษาประตู) - เยฟเกนี่ อัลโดนิน, อเล็กเซ เบเรซุตสกี้
อาร์เจนตินา : มาเรียโน่ อันดูฮาร์ - ฮาเวียร์ ซาเน็ตติ, นิโคลัส โอตาเมนดี้ (ดาเนียล "กาต้า" ดิอาซ น.46), นิโคลัส บูร์ดิสโซ่ (เอมิลิอาโน่ ปาป้า น.45), กาเบรียล ไฮน์เซ่ - มักซี่ โรดริเกซ (เฮซุส ดาโตโล่ น.58), ฮาเวียร์ มาสเคราโน่ (กัปตันทีม), มาริโอ โบลัตติ (เซบาสเตียน บัตตาย่า น.65), โฮนาส กูเตียร์เรซ - ดีเอโก้ มิลิโต้ (ลิซานโดร โลเปซ น.46), เซร์คิโอ อเกวโร่ "กุน" (เอเซเกล ลาเวซซี่ น.63)
เอสโตเนีย 0 - 1 บราซิล
เอสโตเนีย เจ้าบ้านส่งทีมชุดใหญ่ลงสนามครบครัน ในแนวรุกให้ เซอร์เก เซนยอฟ ลงล่าตาข่ายร่วมกับ ทาร์โม คิงค์ "แซมบ้า" บราซิล แชมป์โลก 5 สมัย ขาด รามิเรส กองกลางจากสโมสรเบนฟิก้า ที่บาดเจ็บเลยให้ เคลแบร์สัน เป็นตัวจริงแทน โดยคู่หัวหอกวาง หลุยส์ ฟาเบียโน่ ลงล่าตาข่ายกับ โรบินโญ่ ดาวยิงวัย 25 ปี จากสโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ลงเล่นทีมชาติเป็นนัดที่ 71 พร้อมให้ กาก้า เพลย์เมคเกอร์จากสโมสร เรอัล มาดริด ปั้นเกมกลางสนาม
เริ่มครึ่งแรกมา บราซิล บุกเข้าใส่ทันทีด้วยสไตล์การทำชิ่งหนึ่ง-สองอย่างรวดเร็ว แต่ไม่มีโอกาสส่องประตู กลายเป็น เอสโตเนีย ได้ลุ้นก่อนในนาทีที่ 10 เมื่อ ซานเดอร์ ปูรี่ ลากบอลขึ้นทางขวาโดนชนล้มลงในเขต แต่ผู้ตัดสินเฉย ในนาทีต่อมา ซานเดอร์ ปูรี่ ของเอสโตเนีย ลองยิงไกลบอลข้ามคานไป
จากนั้น เฟลิเป้ เมโล่ กองกลางตัวรับของบราซิล รับใบเหลืองไปเป็นคนแรกของเกมเมื่อไปกระแทก คอนสแตนติน วาสซิลเยฟ ล้มลงในนาทีที่ 21 กระเถิบมาถึงนาทีที่ 35 เคลแบร์สัน กองกลางของบราซิล ต้องถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนาม เนื่องจากหัวไหล่ขวาหลุดพร้อมถูกนำส่งโรงพยาบาลในทัลลินน์ ทันที เลยต้องเปลี่ยนให้ เอลาโน่ ลงมาเล่นแทน
อย่างไรก็ตาม แซมบ้า มาได้ประตูขึ้นนำจนได้ในาทีที่ 43 จากจังหวะที่ หลุยส์ ฟาเบียโน่ ลากเข้าไปซัดเต็มแรงให้ บราซิล นำก่อน 1-0 เมื่อหมดครึ่งแรก
มาเล่นกันต่อในครึ่งหลัง บราซิล กดดันหนักเลย ฟาเบียโน่ กับ เมโล่ ได้ส่องคนละครั้งไม่เข้ากรอบ ผ่านมาถึงนาทีที่ 59 บราซิล เปลี่ยนเอา กาก้า, โรบินโญ่, ดั๊กลาส ไมค่อน ออกแล้วให้ ชูลิโอ บาปติสต้า, ดีเอโก้ ทาร์เดลลี่ และ ดาเนี่ยล อัลเวส ลงมาเล่นแทน ส่วน เอสโตเนีย ให้ วลาดิมีร์ วอสโคบอยนิคอฟ ลงมาเล่นแทน เซอร์เก เซนยอฟ พร้อมทั้งให้ ดมิทรี ครู้กลอฟ แทน โจเอล ลินด์เปเร่
ช่วงท้ายเกมนาทีที่ 83 บราซิล น่าจะได้ประตูที่สองเมื่อ ชูลิโอ บาปติสต้า ตัวสำรองปั่นโค้งด้วยอีซ้ายบอลข้ามคานไป ก่อนหมดเวลาสามนาที เอสโตเนีย ต้องเหลือผู้เล่นแค่ 10 คน เมื่อ ดมิทรี ครู้กลอฟ ผู้เล่นสำรองไปหวดสองเท้ารวบ ดาเนี่ยล อัลเวส แบ็คขวาบราซิล ล้มลง ผู้ตัดสินไม่รอช้าชักใบเหลืองที่สองให้ กลายเป็นใบแดงถูกไล่ออกจากสนามไป ส่วน อัลเวส ที่จะไปเอาคืนรับใบเหลืองไปด้วยในจังหวะนี้ เวลาที่เหลือทำอะไรกันไม่ได้ จบเกม บราซิล บุกมาชนะได้หวุดหวิด 1-0
รายชื่อผู้เล่น
เอสโตเนีย : เซอร์เก พาไรโก้ - เอนาร์ ยาเกอร์, ราโย่ ปิโรย่า (กัปตันทีม), รักนาร์ คลาวาน, อโล บาเรนกรุ้บ - ซานเดอร์ ปูรี่ (อัตส์ ซาอิล น.89), อเล็กซานเดอร์ ดมิทริเยฟ (มาร์ติน วุงค์ น.61), คอนสแตนติน วาสซิลเยฟ, โจเอล ลินด์เปเร่ (ดมิทรี ครู้กลอฟ น.61) - ทาร์โม คิงค์ (คริสเตน ไวค์เม่ น.72), เซอร์เก เซนยอฟ (วลาดิมีร์ วอสโคบอยนิคอฟ น.59)
บราซิล: ชูลิโอ เซซ่าร์ - ดั๊กลาส ไมค่อน (ดาเนี่ยล อัลเวส น.59), ลูซิโอ (กัปตันทีม), ฮวน, อังเดร ซานโต๊ส - จิลแบร์โต้ ซิลวา, เฟลิเป้ เมโล่ - เคลแบร์สัน (เอลาโน่ บลูแมร์ น.35), กาก้า (ชูลิโอ บาปติสต้า น.59) - หลุยส์ ฟาเบียโน่, โรบินโญ่ (ดีเอโก้ ทาร์เดลลี่ น.59)
ดูผลบอลกระชับมิตรคู่อื่นคลิกที่นี่
ภาพข่าวจาก http://sports.yahoo.com